เมื่อวาน @TAXBugnoms เขียนเรื่องวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับมนุษย์เงินเดือนไป ก็ได้รับคำตอบจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ กลับมาว่า "ลดรายจ่ายสังสรรค์ยากจัง โดยเฉพาะพวกภาษีสังคมน่ะ ยากแบบสุดๆ จะลดยังไงได้บ้างล่ะ พอไม่เข้าสังคมเค้าก็ว่าหยิ่ง แต่จริงๆนะอายต่างหาก บางทีไปแล้วไม่รู้จะทำอะไร แต่บางงานไม่ไปก็ต้องฝากซองอีก เฮ้อออ" คิดแล้วปวดหัวว...

เมื่อปัญหามันหนักอกหนักใจขนาดนั้น วันนี้ขอแบ่งปันเคล็ดลับดีๆ ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี เพื่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องของ "ภาษีสังคม" บางคนอาจจะยังงงๆ ว่าภาษีสังคมคืออะไร ขออธิบายให้ฟังสักหน่อยคร้าบบบ

ภาษีสังคม เป็นศัพท์เฉพาะทาง หมายถึง รายจ่ายเพื่อการเข้าสังคมต่างๆหรือการสร้างเครือข่าย (Connection) ของตัวเอง เช่น งานแต่ง งานบวช งานศพ งานวันเกิด งานขึ้นบ้านใหม่ งานรับปริญญา งานหมาป่วย งานช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก เปิดศักราชรับตำแหน่งใหม่ ลูกคนสุดท้องคลอด ฯลฯ

แต่ที่จริงแล้ว... วิธีหลีกหนีภาษีสังคมนั้นไม่ยาก เพียงแค่เราวางแผนการเงินดีๆ โดยใช้หลักการที่มี 5 ข้อดังนี้

ข้อแรก : เข้าร่วมเท่าที่จำเป็น

คนเรานั้นมีเพื่อนหลายกลุ่ม หลายก๊วน แต่อย่าลืมว่าเราสามารถเลือกได้ว่า คนไหนที่เรารู้สึก "คลิก" โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไป "ชิก" กับเค้าทุกกลุ่ม งานไหนงานนั้นเฮนู่นนั้นนี่ตลอดเวลา บางครั้งมันกลายเป็นการสร้างนิสัยใช้จ่ายล้างผลาญโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้นเลือกคบคนที่จำเป็นในระดับหนึ่ง เอาแบบพอดีๆ สนิทกัน หรือจำเป็นจริงๆ และถ้าบางครั้งติดธุระหรือไม่ไหว เราก็หัดปฎิเสธดีๆเพื่อรักษาน้ำใจไว้บ้างก็คงไม่เป็นไร ส่วนงานไหนที่เลี่ยงไม่ได้ ก็อย่าไปคิดมากครับ ให้ปรับทัศนคติว่าเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต

ข้อสอง : อย่าเห็นแก่หน้าตา

สำหรับคุณผู้ชายอย่าทำตัวเป็น "ป๋า" ส่วนคุณผู้หญิงก็อย่าทำตัวเป็น "เจ๊" คือไม่ต้องหน้าใหญ่ใจโตในทุกโอกาสครับ ไม่ใช่การที่เราเป็นคนจ่ายเงินเยอะๆแล้วคนจะมองว่าเราดี แต่คนที่คนอยากคบด้วยนั้น บางครั้งออกเงินพอเป็นพิธีแต่ทำให้เค้าสบายใจ ใครๆก็รักแล้วคร้าบบบ บางครั้งเราอยากโชว์เหนือโชว์พาว แต่คิดดูก่อนจะควักกระเป๋าสิครับว่า เราจะเอาชนะกันไปเพื่ออะไร

ข้อสาม : หน้าหนาเป็นบางครั้ง

บางครั้งต้องมีการตีมึนกันบ้าง สำหรับพวกคนที่เรียกร้องน้ำใจจากคนอื่น ทำนองว่า ฝากซองผ้าป่าหน่อยทุกโต๊ะ หรือหลานแต่งงานแต่แจกทั่วบริษัท อะไรแบบนี้ อันนี้ก็เกินไป สิ่งเดียวที่ทำได้คือ "มึนๆ" งงๆแล้วไม่ให้ แค่นั้นจบแน่นอนครับ เค้าจะไม่มาแวะเวียนมารบกวนเราอีก

ป.ล. ถ้าเค้าหาว่าเราไม่มีน้ำใจ เราก็ตอบกลับไปแบบเก๋ๆว่า "น้ำใจเค้าต้องให้ด้วยใจไม่ได้เรียกร้องเอาจากคนอื่นนะจ๊ะ" #รับประกันมีตบ

ข้อสี่ : อย่าบังคับคนอื่นให้จ่าย

การบังคับให้คนอื่นจ่ายในสิ่งที่เค้าไม่ควรจ่าย คือสิ่งที่น่ากลัวของมิตรภาพครับ บางครั้งไปทานอาหารกันสิบคน แต่มีคนทานจริงๆแค่เจ็ดคน อีกสามคนกินแต่น้ำเปล่า แต่พอบิลออกมาดันหาร 10 ซะได้ แบบนี้เค้าเรียกเอาเปรียบกันไปหน่อยครับ ถ้าเราไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบเรา เราก็อย่าไปทำกับคนอื่นนะครับ กรรมจะได้ไม่ตามสนองงงง และถ้ามีฝากใครใส่ซอง ทำบุญ ก็อย่าลืมคืนเค้านะครับ ไม่งั้นจะได้กลายเป็นบาปแทนแหงๆ

ข้อห้า : ไม่ต้องอายถ้าไม่มีจริงๆ

สำหรับข้อสุดท้ายนี้  ถ้าหากว่าเราไม่มีจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปพยายามมี พยายามเป็น หรือพยายามให้คนอื่นเห็นว่า "เรามี" เพราะ "มิตรภาพที่ดี" นั้น ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นที่เงินเสมอไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่มีให้บอกไปเลยว่าไม่มี ถ้าคนเราจะคบกันแค่นี้ก็คงต้องปล่อยไปครับ

แต่ถ้าหากเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายหรือสังคมที่เราสนใจ เราอาจจะเปลี่ยนจากเงินเป็นสิ่งที่เรียกว่า "น้ำใจ" แลกเปลี่ยนให้แทนครับ ช่วยอะไรเค้าได้ที่ไม่ใช่เงินก็ช่วยกันไป รับประกันได้เลยว่าไม่มีใครเค้าว่าเราอย่างแน่นอน ถ้าหากสิ่งที่เราทำนั้นออกจากใจที่แท้จริง ^^

สุดท้ายนี้... ถ้าใครมีปัญหาเรื่อง "ภาษีสังคม" แล้วอยากระบาย Comment ความเห็นไว้ได้เลยคร้าบบบบบ...