เริ่มปีใหม่ก็เริ่มเข้าสู่เทศกาลการยื่นภาษีกันอีกแล้ว โดยบุคคลธรรมดาหากยื่นภาษีด้วยตนเองแบบกระดาษ ที่สำนักงานสรรพากรจะยื่นได้ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2567 แต่หากยื่นแบบออนไลน์ผ่าน www.rd.go.th จะยื่นได้ถึงวันที่ 8 เม.ย. 2567
เรื่องภาษีไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจได้ทันที และทุกครั้งที่เมื่อถึงเวลาต้องยื่นภาษี มักมีความเชื่อที่เข้าใจกันผิดๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะ 7 ข้อนี้...
(1) ถ้าเป็นเด็ก เป็นพระ เป็นคนสูงอายุ หรือ คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ไม่ต้องเสียภาษี
ความจริง คือ สรรพากร กำหนดผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมา โดยมีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1. บุคคลธรรมดา
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
3. ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
4. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
5. วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เป็นพระ หรือ เป็นคนสูงอายุ สรรพากรถือเป็นบุคคลธรรมดาตามข้อ 1 หากคนเหล่านี้มีเงินได้ในปีที่ผ่านมาตามเกณฑ์ของสรรพากร ก็ต้องเสียภาษี
ส่วนคนที่เสียชีวิตในระหว่างปีที่ผ่านมา ก็ยังต้องเสียภาษีในฐานะ “ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี”
(2) “ผู้เสียภาษี” กับ “ผู้ยื่นแบบภาษี” ต้องเป็นคนๆ เดียวกัน
ความจริง “ผู้เสียภาษี” คือ ผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้สรรพากรตามเกณฑ์ที่กำหนด ส่วน “ผู้ยื่นแบบภาษี” คือ ผู้ที่ยื่นแบบภาษีที่สำนักงานสรรพากร จะเป็นใครก็ได้ บางองค์กรอาจกำหนดให้ฝ่ายบุคคลเป็นคนช่วยกรอกและยื่นแบบภาษีเงินได้ให้กับพนักงานก็สามารถทำได้
เช่นเดียวกันกับกรณีคนที่เสียชีวิตในระหว่างปีที่ผ่านมา ถ้ามีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็จะเป็น “ผู้เสียภาษี” แต่คงไม่สามารถเป็น “ผู้ยื่นแบบภาษี” เองได้ ญาติหรือคู่สมรสอาจเป็น “ผู้ยื่นแบบภาษี” แทน
(3) คนที่มีเงินได้ทุกคน ต้องยื่นแบบภาษี
ความจริง คนที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาจะมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ก็ต่อเมื่อมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไม่ว่าเมื่อคำนวณภาษีแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
1.กรณีคนโสด
ต้องยื่นภาษีเงินได้ เมื่อมีเงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน (120,000 บาทต่อปี) รวมทั้งหากมีรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนตั้งแต่ 5,000 บาทต่อเดือน (60,000 บาทต่อปี)
2.กรณีสมรส
ต้องยื่นภาษีเงินได้ เมื่อมีเงินเดือนตั้งแต่ 18,333 บาทต่อเดือน (220,000 บาทต่อปี) รวมทั้งหากมีรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน (120,000 บาทต่อปี)
(4) ถ้ายื่นภาษีภายในกำหนด ก็ถือว่าเสียถูกต้อง
ความจริง แม้จะยื่นภาษีทันกำหนด แต่ไม่ได้ชำระเงินภาษีภายในกำหนด ก็ถือว่าไม่ได้ยื่นแบบ หากเกินกำหนดชำระไปแล้วเราต้องจ่ายภาษี พร้อมเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ รวมทั้งค่าปรับ
(5) “ค่าใช้จ่ายจริง” กับ “ค่าใช้จ่ายทางภาษี” คือ ตัวเดียวกัน
ความจริง “ค่าใช้จ่ายจริง” คือ ค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายออกไปจริงๆ แต่ “ค่าใช้จ่ายทางภาษี” คือ ค่าใช้จ่ายที่สามารถเอามาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ต้องเข้าลักษณะค่าใช้จ่ายของสรรพากร ซึ่ง ลักษณะ “ค่าใช้จ่ายทางภาษี” ของการประเมินเงินได้สุทธิของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กับ นิติบุคคล ใช้เกณฑ์เดียวกัน คือ
องค์ประกอบรายจ่ายในการดำเนินกิจการที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ โดยต้องครบองค์ประกอบทุกข้อดังนี้
1. ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
2. ต้องเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ และพิสูจน์ได้ว่า มีเหตุผลอันสมควรที่จะจ่ายรายการรายจ่ายนั้น
3. มีหลักฐานการจ่ายที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้
4. ต้องเป็นรายจ่ายสิ้นเปลืองหมดไปที่ไม่ก่อให้เกิดเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
5. รายจ่ายในการดำเนินงานเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปีใด ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
6. ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
สรุปง่ายๆ คือ
1. ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดเงินได้ ค่าใช้จ่ายไหนที่ไม่ก่อให้เกิดเงินได้ จะไม่สามารถนำมาเป็น “ค่าใช้จ่ายทางภาษี” ได้
2. ต้องมีหลักฐานการจ่ายจริง
3. จำนวนที่จ่ายต้องเป็นจำนวนตามสมควร ไม่มากเกินไป
4. ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดในรอบปีภาษีนั้นๆ
เนื่องจากเงินได้แต่ละอย่างมีค่าใช้จ่ายต่างกัน อย่างเช่น มนุษย์เงินเดือน หรือ ตัวแทนประกันชีวิตที่ได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขาย เงินได้ที่ได้รับเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำ คือ เป็นเงินได้ที่ได้รับมาจากการใช้เวลา ความรู้ความสามารถ ไม่มีการลงทุนอะไร จึงมีค่าใช้จ่ายน้อย สรรพากรจึงกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
แต่หากเป็นเงินได้จากการทำธุรกิจ มีการลงทุน การจ้างงาน สรรพากรก็ให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง โดยเราจะต้องมีหลักฐานการจ่ายจริง เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ฯลฯ หรือหากเราไม่มีหลักฐาน บางประเภทของเงินได้ เราก็สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ ส่วนใหญ่จะหักแบบเหมาได้ 60% ของเงินได้
(6) เสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้ว ไม่ต้องยื่นภาษีอีก
ความจริง ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ ส่วนหนึ่งของภาษีเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ต้องจ่ายให้สรรพากร ณ ขณะที่มีเงินได้ โดยผู้จ่ายเงินได้จะทำหน้าที่หักภาษีหัก ณ ที่จ่ายส่งสรรพากรจากจำนวนเงินที่จะจ่ายให้ผู้มีเงินได้ พร้อมกับมอบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือ 50 ทวิ ซึ่งก็คือ เอกสารแสดงยอดเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ได้หักไว้แล้วในปีภาษี
นอกจากนี้ในเอกสาร 50 ทวิ ยังแสดงข้อมูลรายได้ว่าได้มาจากที่ใดและจำนวนเท่าไหร่บ้าง เป็นเอกสารที่ผู้มีเงินได้ใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษี สรรพากรระบุไว้ว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย มีไว้เพื่อลดภาระผู้เสียภาษี จะได้ไม่ต้องเสียภาษีทีเดียวเยอะๆ ตอนยื่นภาษี
ดังนั้น การจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย จึงเป็นการเสียภาษีเงินได้เพียงบางส่วน ผู้มีเงินได้จึงต้องนำเงินได้และภาษีหัก ณ ที่จ่ายมาคำนวณภาษีตอนยื่นภาษีอีกทีโดยใช้ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือ 50 ทวิ เป็นหลักฐาน
(7) “ค่าลดหย่อนภาษี” คือ หักลดหย่อนจากภาษีที่เราต้องเสีย
ความจริง “ค่าลดหย่อนภาษี” ตามรายการที่กฎหมายกำหนดไว้ให้สามารถนำไปหักออกจาก “เงินได้” หรือรายได้ที่เรามี หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ซึ่งประโยชน์ของค่าลดหย่อน คือ ทำให้เงินได้สุทธิลดน้อยลง ตามสูตรนี้
เงินได้ (ต่อปี) - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
จะเห็นได้ว่า “ภาษีเงินได้” จะคิดจาก “เงินได้สุทธิ” และค่าลดหย่อนใช้ลบออกจากเงินได้ต่อปี เพื่อทำให้เงินได้สุทธิลดลง เมื่อเงินได้สุทธิลดน้อยลง เราก็จะเสียภาษีเงินได้น้อยลง ตามวิธีการคำนวณภาษีเงินได้ที่สรรพากรกำหนด