สวัสดีครับ กลับมาพบกับ @TAXBugnoms กันอีกครั้งกับบทความใหม่ประจำสัปดาห์ครับผม ห่างหายกันไปสักพัก แต่ยังมีอัพเดทบทความอยู่เสมอนะคร้าบบบ

เอาล่ะครับ… เข้าใกล้ช่วงปลายปีแบบนี้ หลายๆคนคงกำลังวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีกันอยู่ใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าตัวเลือกแรกที่ใครหลายคนนึกถึง คงเป็นเรื่องของการทำประกันชีวิตที่สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท โดยมีประกันอยู่ 2 ประเภทที่เราสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ดังนี้ครับ

  • ประกันชีวิตแบบปกติที่สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  • ประกันชีวิตแบบบำนาญที่สามารถลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับ RMF และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายคน คงจะได้ยินได้ฟังจากโฆษณามากมายว่า ใกล้สิ้นปีแบบนี้ ให้รีบมาซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี แค่เพียงจ่ายทันทีก็ถือว่ามีกำไรจาก % ภาษีที่ประหยัดได้ แถมประกันชีวิตที่ว่านี้ยังเป็นการลงทุนที่ดีอีกต่างหาก…

แต่เดี๋ยวก่อน!! ถ้าคุณโทรมาภายใน 15 นาทีนี้ เราจะมี… #ไม่ใช่ละ ผมอยากจะให้ทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ ลองตั้งคำถามกับตัวเองก่อนครับว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากโฆษณานั้น มันถูกต้องหรือเปล่า

  • เราต้องการลดภาษี เราเลยไปซื้อประกัน? รู้ไหมครับว่า เมื่อซื้อประกันแล้วต้องมีการจ่ายเบี้ยประกันอย่างต่อเนื่องตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ และถ้าผิดเงื่อนไขทางภาษีขึ้นมา เช่น เวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบอายุ หรือขอเบี้ยประกันคืน สิทธิในการประหยัดภาษีของเราจะต้องคืนให้แก่สรรพากร พร้อมกับเสียเงินเพิ่ม (ดอกเบี้ย) อีกต่างหาก
  • เราต้องการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนดี เราเลยไปซื้อประกัน? รู้ไหมครับว่า ผลตอบแทนจากประกันชีวิตประเภทออมทรัพย์นั้นอยู่ที่ประมาณ 2-4% เท่านั้น ซึ่งผลตอบแทนนี้ไม่ต่างจากการฝากเงินในเงินฝากประจำ หรือการซื้อกองทุนตราสารหนี้ดีๆสักกองหนึ่ง ซึ่งมีสภาพคล่องที่ดีกว่าการซื้อประกันอีกด้วย

ดังนั้น เหตุผลที่เราตัดสินใจซื้อประกันชีวิตนั้น มันควรมาจากสิ่งที่ประกันชีวิตให้กับเราได้ นั่นคือ ความคุ้มครองและการป้องกันความเสี่ยง และสิ่งนี้นี่แหละควรจะเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการจ่ายเงินของเราใช่ไหมครับ หลังจากนั้นค่อยมาพิจารณาสิทธิประโยชน์ต่างๆทั้งเรื่องผลตอบแทนหรือภาษีรองลงมา ซึ่งมันจะทำให้เราได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ของเราไปอย่างคุ้มค่าที่สุดครับ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดได้ทันทีว่า เฮ้ย ถ้าชีวิตชั้นดี๊ดีย์อยู่แล้ว อายุก็ยังไม่มาก กินคลีน ออกกำลัง นั่งสมาธิ โยคะ ป้องกันความเสี่ยงต่างๆในชีวิตครบทุกด้าน แถมถ้าป่วยก็มีสวัสดิการของบริษัทให้อีกต่างหาก ไว้อายุมากกว่านี้ หรือไว้จำเป็นมากกว่านี้ค่อยซื้อก็ได้สินะ

คำถามต่อมาคือ “แล้วเรารู้ไหมล่ะว่าโรคร้ายต่างๆมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” ลองมองดูสังคมรอบตัว ดูข่าวสารต่างๆ เราจะเห็นว่าโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยไปสูงสุด 5 อันดับแรก อย่าง มะเร็ง หลอดเลือดสมองแตก ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง โรคปอดระยะสุดท้าย และไตวายเรื้อรัง (อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ : http://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries09.html) โรคพวกนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อไร ต่อให้หมอดูที่เก่งที่สุดในโลกก็ยังไม่สามารถรู้ได้ ใช่ไหมครับ?

เมื่อหลายปีก่อน ผมได้ทราบข่าวว่าเพื่อนคนหนึ่งเป็นโรคมะเร็งปอด ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนสูบบุหรี่ จากคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีสังคมดี มีงานมีการทำ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนที่วันๆต้องคิดว่าจะหาเงินจากไหนมารักษาโรค สวัสดิการของบริษัทที่เคยหวังพึ่งก็มีเพียงให้ระดับนึงเท่านั้น และสุดท้ายเขาก็กลายเป็นภาระของครอบครัวในที่สุดครับ

จากบทความทั้งหมดที่เขียนมา ผมเพียงอยากให้ทุกคนลองย้อนมองดูตัวเองครับว่า ทุกวันนี้เราตัดสินใจเลือกทำประกันชีวิตเพราะอะไร และประกันที่เรากำลังทำอยู่หรือคิดจะทำนั้น มันตอบโจทย์สิ่งที่เราต้องการได้หรือเปล่า เราต้องการความคุ้มครองด้านไหนบ้าง โรคร้ายต่างๆ หรือต้องการเพียงออมทรัพย์ ลองสำรวจตรงนี้ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจนะครับ

และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเพิ่งได้ยินข้อมูลประกันชีวิตตัวหนึ่งของทางอลิอันซ์ อยุธยา ที่มีชื่อว่า “ประกันโรคร้ายได้คุ้ม” เอาล่ะครับ.. เรามาดูรายละเอียดของประกันตัวนี้กันดีกว่าว่ามันน่าสนใจยังไงบ้าง

สิ่งที่เราได้รับจากประกันชีวิตตัวนี้ก็คือ .. ความคุ้มครองถึงอายุ 85 ปี โดยชำระค่าเบี้ยประกันภัยเพียง 20 ปีเท่านั้น แถมยังได้รับสิทธิพิเศษต่างๆเพิ่มเติมดังนี้ครับ

  • รับ 20% ทันที! หากได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้าย ตามที่ระบุในกลุ่ม 1 จากหน้าเว็บไซต์ เช่น ตรวจพบมะเร็งระยะที่ 1, ผ่าตัดตับ, ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น โดยได้รับสิทธิสูงสุด 1 ครั้งต่อโรค
  • รับสูงสุด 100% ของจำนวนเงินเอาประกัน เมื่อได้รับวินิจฉัยว่าเป้นโรคร้ายรุนแรง ตามที่ระบุในกลุ่ม 2
  • รับสูงสุด 100% ของจำนวนเงินเอาประกัน หากเสียชีวิตก่อนครบสัญญา
  • รับสูงสุด 100% ของจำนวนเงินเอาประกัน หากอยู่ครบสัญญา (อายุครบ 85 ปี)

หมายเหตุ : เรายังได้รับการยกเว้นเบี้ยประกัน โดยที่ได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องจนครบสัญญา (อายุครบ 85 ปี) หรือจนกว่าจะได้รับผลประโยชน์ 100% เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายตามที่ระบุในกลุ่ม 1)

โดยเราจะเห็นว่าประกันโรคร้ายได้คุ้มตัวนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่าประกันตัวอื่นๆตรงที่ ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วยก็มีสิทธิได้รับเงินก้อนเช่นเดียวกัน สมมุติว่าถ้าหากเราเจอโรคร้ายในกลุ่มที่ 1 แล้วโรคร้ายไม่ลุกลาม เราจะได้รับเงินทันที 20% และไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มอีกต่อไป แถมยังได้ความคุ้มครองที่เหลืออีก 80% จนครบกำหนด

ยกตัวอย่างเช่น นายเกรย์แมนทำประกันและตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 1 นายเกรย์แมนจะได้รับเงินก้อนทันที 20%