หากเอ่ยถึงวิธีการหาเงิน หลักๆ มี 2 วิธี คือ ใช้แรงทำงานเพื่อให้ได้เงิน หรือเรียกว่า Active Income กับให้เงินทำงานสร้างเงินแทน เรียกว่า Passive Income ซึ่งในอดีตคนๆ หนึ่งมักจะเลือกหาเงินเพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ปัจจุบันผู้คนเลือกหาเงินทั้งสองวิธี เพื่อทำให้มีอิสรภาพทางการเงินเร็วมากขึ้น

1. ใช้แรงทำงาน (Active Income)

คือ ผู้คนใช้แรงทำงานเพื่อให้เกิดรายได้ เช่น ทำงานเป็นข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน ซึ่งก็จะได้รับเงินเดือน ถ้าเป็นฟรีแลนซ์ก็จะได้รับค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้

เมื่อเป็นการใช้แรงทำงานหาเงิน ทำให้มีข้อจำกัดพอสมควร โดยเฉพาะเวลาที่จำกัด เช่น พนักบริษัทเอกชน ทำงานจันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 17.00 น. เมื่อถึงสิ้นเดือนก็ได้รับเงินเดือน หรือฟรีแลนซ์ก็จะได้ค่าจ้างตามที่ตกลงกับผู้ว่าจ้าง

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้องการรายได้เพิ่ม ก็ต้องหางานเสริม เช่น ขายของออนไลน์ รับจ้างสอนพิเศษ หรือฟรีแลนซ์ก็ต้องหางานเพิ่มจากผู้ว่าจ้างคนอื่นๆ ซึ่งข้อจำกัดตามมา คือ เวลาพักผ่อนน้อยลงก็อาจทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม

2. ให้เงินทำงานแทน (Passive Income)

จะตรงข้ามกับ Active Income คือ ใช้เงินทำงานแทนตัวเรา พูดง่ายๆ ใช้เงินที่มี นำไปทำงานเพื่อสร้างมูลค่าให้เพิ่มสูงขึ้น เช่น นำเงินไปลงทุนหุ้นปันผล ก็จะมีรายได้จากเงินปันผล ลงทุนพันบัตรรัฐบาลก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย หรือนำเงินไปซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่ารายเดือน ก็จะได้รับรายได้เป็นค่าเช่าตามที่ตกลงกับผู้เช่า

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะพบว่าหากต้องการรายได้เพิ่ม (เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) ก็ต้องคัดกรองหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หรือต้องทำสัญญากับผู้เช่าคอนโดมิเนียมในระยะยาว หรือสามารถหาผู้เช่าเข้ามาเช่าได้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อรู้ความหมายของ Active Income กับ Passive Income อาจมองว่า Passive Income น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า เพราะไม่ต้องออกแรง แต่คำถามที่ตามมา คือ จะนำเงินจากไหนไปทำงาน แทนตัวเรา ถ้าไม่เริ่มต้นจากการใช้แรงเพื่อหาเงินให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยนำเงินที่มีไปลงทุนเพื่อให้เกิดมูลค่าตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น ทั้งสองวิธีจึงมีทั้งข้อดีและข้อด้อย

ข้อดี [Active Income]

แน่นอนและคาดการณ์ได้

หากเป็นข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน ก็จะมีเงินเดือนโอนเข้าบัญชีทุกเดือนๆ หรือฟรีแลนซ์ก็จะได้รับเงินจากผู้ว่าจ้างทันทีที่ทำงานเสร็จลุล่วง ดังนั้น จึงเป็นงานที่มีรายได้แน่นอนและคาดการณ์ได้ว่าจะมีเงินเข้ามาในบัญชีจำนวนเท่าไหร่และโอนเข้าวันไหน แสดงว่ามีกระแสรายรับสม่ำเสมอ และยิ่งสามารถหารายได้เสริมก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

วางแผนรายจ่ายได้

เมื่อรู้รายได้และคาดการณ์จำนวนเงินและเวลาที่แน่นอน ทำให้สามารถนำไปวางแผนรายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ได้รับเงินเดือน 30,000 บาท ก็นำไปจัดสรรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ค่าน้ำ ไฟ ค่าใช้จ่ายประจำวัน จ่ายหนี้ต่าง ๆ รวมถึงแบ่งไปเก็บออมและลงทุน

ทักษะดี รายได้ก็ดี

เมื่อใช้แรงทำงานหาเงิน หากรู้จักพัฒนาศักยภาพการทำงานของตัวเองสม่ำเสมอ ชอบการเรียนรู้ ขยัน อดทน หาทักษะใหม่ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย ย่อมทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ผลที่ตามทำให้มีโอกาสต่อรอเงินเดือนให้มากขึ้น

ศักยภาพในการเติบโต

เมื่อทำงานไปได้สักระยะ เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน ก็จะได้รับการโปรโมทเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น สิ่งที่ตามมา คือ เงินเดือนจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย หรือฟรีแลนซ์ หากทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้มีผู้ว่าจ้างเพิ่มมากขึ้น และสามารถเพิ่มค่าจ้างได้ด้วย

ข้อด้อย [Active Income]

หยุดทำงาน เท่ากับรายได้หดหาย

เมื่อไหร่ที่หยุดทำงาน เช่น ลาออกจากงานประจำ หรือฟรีแลนซ์ ไม่มีคนว่าจ้าง ทำให้รายได้ลดลง ขณะที่รายจ่ายยังมีต่อไป

ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เช่น เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติการเมือง อาจส่งผลให้เกิดการเลิกจ้างหรือถูกลดเงินเดือน ขณะที่ฟรีแลนซ์อาจไม่มีใครว่าจ้าง ส่งผลกระทบต่อรายได้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเงิน

ขาดความสมดุลในชีวิต

บางครั้งการใช้แรงหาเงิน อาจส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน ความเครียดสูง ไม่มีเวลาพักผ่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

ข้อดี [Passive Income]

อิสรภาพทางการเงิน

การมีรายได้จากการให้เงินทำงานแทนตัวเรา ทำให้มีกระแสรายได้สม่ำเสมอขณะเดียวกันก็ไม่ผูกติดกับเวลา เช่น สร้างรายได้แม้ในขณะที่กำลังเดินทางท่องเที่ยว หมายความว่า มีความยืดหยุ่นและมีศักยภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน

กระจายความเสี่ยง

รายได้ที่มาจากการให้เงินทำงานแทนตัวเรา ช่วยกระจายแหล่งที่มาของรายได้และลดการพึ่งพาจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้นปันผล กองทุนรวม พันธบัตรรัฐบาล พูดง่าย ๆ สามารถกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงทางการเงินโดยรวมได้

ความสามารถในการเพิ่มรายได้

หากมีกลยุทธ์การใช้เงินทำงานแทนตัวเราที่เหมาะสม ก็จะสามารถวางแผนว่าจะมีกระแสรายได้หรือเพิ่มรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อด้อย [Passive Income]

จุดเริ่มต้นต้องใช้ความพยายาม

ก่อนจะประสบความสำเร็จในการใช้เงินทำงานแทนตัวเรา ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักและต้องใช้เวลาและใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก ก่อนที่จะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันในระหว่างทางก็ต้องศึกษา ติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เงินที่นำไปทำงานแทน ยังคงสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน

“การลงทุน มีความเสี่ยง” ประโยคนี้ถือเป็นศัตรูร้ายของวิธีให้เงินทำงานแทนตัวเรา เช่น เมื่อตลาดเกิดความผันผวน อาจส่งให้สินทรัพย์ที่ลงทุนขาดทุน การแข่งขันรุนแรง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของแหล่งที่มาของรายได้ อาจทำให้สูญเสียรายได้ ดังนั้น วิธีการนี้จึงไม่รับประกันความสำเร็จ

ใช้เวลาเพื่อสร้างผลตอบแทน

การมีรายได้มั่นคงและยั่งยืนด้วยวิธีให้เงินทำงานแทนตัวเรา มักใช้เวลานานพอสมควร จึงต้องใช้ความอดทนและความพากเพียรก่อนที่จะเริ่มเห็นรายได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น อาจเป็นข้อเสียหากต้องการใช้เงินทันที

ปัจจุบัน โลกเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็ทำให้โลกการลงทุนง่าย สะดวก รวดเร็ว ทำให้หลายคนเชื่อว่าการให้เงินทำงานแทนตัวเรา เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และบางคนมองว่า “ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา ปล่อยให้เงินทำงานแทนไปเลย เพียงเท่านี้เงินก็มีรายได้เข้ามาตลอดเวลา” แต่เหรียญมีสองด้าน เพราะหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดและทำให้สินทรัพย์ที่ลงทุนเสียหาย ก็อาจทำให้รายได้ลดลงหรืออาจขาดทุน ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านการเงินในระยะยาว

ดังนั้น การมีรายได้ด้วยวิธีใช้แรงทำงานก็มีความสำคัญ หมายความว่า หากมีโอกาสทำงาน เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน หรือสามารถหารายได้เสริมได้ ก็ไม่ควรทิ้งโอกาสที่ดีไป เพราะการมีรายได้หลากหลาย มากกว่าการเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงินเร็วยิ่งขึ้น