หลังจากตลาดอเมริกามั่นใจในความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัท ส่งผลให้ราคาหุ้นทะยานในช่วงที่ผ่านมา วันจันทร์ Dow Jones เพิ่งทำสถิติปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 38,797.38 จุด ขณะที่ S&P 500 ปิดตลาดเหนือระดับ 5,000 จุดเป็นครั้งแรกไม่นานก่อนหน้านั้น

อารมณ์ในตลาดนั้นค่อนข้างฮึกเหิมเลยทีเดียว

ปัจจัยกระตุ้นอีกอย่างคือเรื่องความคาดหวังของตลาด ความฝันที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม เพราะช่วงที่ผ่านมานั้นเงินเฟ้อดูจะอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง

ใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะฝัน แต่วันหนึ่งสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับการฝันคือการเผชิญหน้ากับความจริง

ความจริงในครั้งนี้มาในรูปแบบของเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาด

ตัวเลข CPI

หลังจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อเผยให้เห็นราคาสินค้าที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้วอลล์สตรีทกังวลว่าเฟดอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้สูงแบบนี้นานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้

ซึ่งที่จริงก็มีการเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะยังไม่เริ่มลดดอกเบี้ยจนกว่าจะปลายปี แต่บรรดานักลงทุนยังคงยึดติดกับความหวังว่า เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) อาจจะไม่ได้จริงจังเมื่อบอกว่าการลดดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม "ไม่น่าเป็นไปได้"

ราฟาเอล บอสทิก (Raphael Bostic) หัวหน้าเฟดแอตแลนตา ก็เคยออกมาให้ความเห็นกับซีเอ็นเอ็นเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ว่า "ผมมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกน่าจะเกิดขึ้นช่วงฤดูร้อน" (ประมาณเดือน 6,7) แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่

ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI ทั่วไป) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ล่าสุด เผยให้เห็นว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ณ เดือนมกราคม สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.9%

เมื่อเทียบรายเดือน CPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมกราคม สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2%

ตลาดหุ้นร้อนแรงต่อไม่ไหว

ข้อมูลทั้งสองสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ นักลงทุนจึงปรับการคาดการณ์ใหม่ว่าเฟดจะเลื่อนการปรับอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนมิถุนายนแทน

เหตุการณ์นี้คล้ายเป็นการแตะเบรกให้กับตลาดหุ้นที่ร้อนแรง

ดัชนี Dow Jones ร่วงลง 525 จุด (ประมาณ 1.4%) นับเป็นการร่วงลงรายวันมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2023 ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.4% และ ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 1.8%

ขณะที่หุ้นปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นไปที่ 4.32% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี เพิ่มขึ้นไปที่ 4.66%

ถ้ายังจำกันได้ช่วงปลายปี 2023 เฟดบอกว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งภายในปี 2024 แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เราจะเห็นว่าที่ผ่านมาเฟดค่อนข้างรอบคอบ คอยพูดอยู่เสมอว่าต้องดูข้อมูลเป็นหลัก ให้มันแน่ใจชัดเจนก่อนว่าดอกเบี้ยนี้เอาเงินเฟ้ออยู่ได้จริงๆ

ซึ่งพอเฟดบอกว่าจะลด คนก็เริ่มคาดหวังกันแล้วว่าจะลดเร็วๆ นี้ บางทีอาจจะลดมากกว่า 3 ครั้งด้วย หุ้นก็เลยทะยานเลยในช่วงที่ผ่านมา

จะขึ้นจะลงจะเป็นยังไงต่อ?

คุณ กวี ชูกิจเกษม นักลงทุน VI และฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และคอนเทนต์ บลจ. Pi บอกว่าการประเด็นเรื่องเงินเฟ้อครั้งนี้ที่ทำให้คนกังวลก็คือ ‘จะเป็นยังไงหากเงินเฟ้อตรงนี้ไม่สามารถลงต่อได้’ คล้ายกับช่วงปี 70’s ที่เงินเฟ้อจาก 7% ลงมาแตะ 3% แล้วพุ่งขึ้นต่อไปเป็น 12% แล้วลงมาแตะที่ 5% ก่อนจะพุ่งอีกครั้งไปเกือบ 15%

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าครั้งนั้นเงินเฟ้อลดลงมาก็จริง แต่สุดท้ายก็กลับขึ้นไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อก็มาจากเรื่อง อุปสงค์/อุปทาน (Demand/Supply) หากอุปสงค์เพิ่ม ความต้องการใช้จ่ายของคนสูง เงินก็เฟ้อได้ แต่ในขณะเดียวกันหากอุปทานลดลง ราคาแพงขึ้น แต่ความต้องการไม่ได้มากตาม อันนี้ก็เกิดเงินเฟ้อได้เหมือนกัน

ในช่วงโควิดมีความต้องการสินค้าสูง เงินเฟ้อก็พุ่งตาม ตลาดหุ้นก็พุ่งด้วย แต่หลังจากที่โควิดเริ่มซาไป ความต้องการก็ลดลง เงินเฟ้อก็ค่อยๆ ลดลงตามมาด้วย แต่คุณกวีบอกว่าต่อจากนี้เงินเฟ้ออาจจะลงยากสักหน่อย เพราะดัชนีชี้วัดภาคบริการ (ISM Services) ที่เป็นดัชนีชี้นำเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้น เพราะฉะนั้นเงินเฟ้ออาจจะกลับมาปรับตัวสูงขึ้น (หรือไม่ลง) ในช่วงต่อจากนี้

“ตรงนี้อาจจะทำให้ตลาดไม่ไปไหน และเงินเฟ้อจะลงได้ยาก” คุณกวีกล่าว

นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกปัจจัยหนึ่งก็คือเรื่องของอัตราการรับคนงานมีตำแหน่งเปิดรับเยอะมาก (ภาคบริการเพิ่ม) มีตำแหน่งงานให้คนเข้าไปทำงานเยอะอยู่ (แม้จะลดลงมาเรื่อยๆ) ส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นไปด้วย ทำให้ของแพงขึ้น เงินเฟ้อก็ยังคงอยู่ต่อไป จากอุปสงค์ที่มีอยู่ในตลาด

แต่ในขณะเดียวกัน หากไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่นสงครามที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น คุณกวีก็มองว่าเงินเฟ้อไม่น่าจะเด้งกลับไปเหมือนช่วงปี 70’s แล้ว เพราะเงินออมของคนอเมริกันเองก็เริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ หลังจากผ่านพ้นโควิดมา รายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้ความกล้าในการจับจ่ายน้อยลง แม้เงินเฟ้อจะยังคงระดับสูงอยู่ก็ตาม

สุดท้ายสิ่งที่คุณกวีบอกก็คือว่าจากนี้สิ่งที่เราต้องติดตามคือจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับที่ลดลงเรื่อยๆ จากสถิติแล้วในอดีต ดอกเบี้ยจะเริ่มลดลงก็ตอนที่จำนวนงานที่เปิดรับลดลงมาถึงจุดหนึ่งแล้ว

เพราะฉะนั้นตอนนี้โอกาสที่เงินเฟ้อจะเด้งกลับไปสูงอีกครั้งเหมือนปี 70’s น่าจะยาก (หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จนทำให้อุปทานลด ของแพงจนดันเงินเฟ้อ) ต่อจากนี้คนจะจับจ่ายใช้สอยน้อยลงเพราะเงินเก็บเริ่มไม่มี ทำให้ตำแหน่งงานที่เปิดรับลดลง ซึ่งนำไปสู่ดอกเบี้ยที่ลดลงได้ อาจจะอยู่ราวๆ ไตรมาสที่ 3 ของปี

หากเป็นไปตามการวิเคราะห์ตรงนี้ แสดงว่าตลาดหุ้นจะมีโอกาสในการเติบโตที่จำกัด และออกไปแนวไซด์เวย์ ส่วนตลาดหุ้นไทยคุณกวีก็บอกว่า “ผมยังคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าตลาดหุ้นไทยจะออกแนวไซด์เวย์มากกว่าที่จะลง 1200 คือกรณีที่แย่ที่สุด แต่อยากเห็นว่า 1350 เอาอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเก่งขนาดนั้นไหม ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะตลาดตรงนี้ยังดูไม่เอื้อ”

ความกังวลและบทสรุป

ตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม

เกร็ก วิเลนสกี้ (Greg Wilensky) หัวหน้าการลงทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่ Janus Henderson Investors บอกกับ CNN ว่า

"ด้วยข้อมูลใหม่นี้ การลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนมิถุนายนดูเหมือนเป็นความคาดหวังที่สมเหตุสมผลที่สุด เว้นแต่ว่าเราจะเห็นตลาดแรงงานลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง หรือเกิดประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์"

ต่อจากนี้ตลาดอาจผันผวนเนื่องจากวอลล์สตรีทต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลาง ซึ่งวางแผนการลดดอกเบี้ยสามครั้ง อาจจะไม่ลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วหรือรุนแรงตามที่คาดการณ์

"ตลาดหุ้นจะไม่สามารถแรลลีต่อไปได้หากอัตราดอกเบี้ยยังคงสูงแบบนี้ต่อไปเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะถ้าคาดหวังที่ว่าเฟดนั้นจบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วเป็นเรื่องที่ผิดด้วย” คริส ซัคคาเรลลี (Chris Zaccarelli) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Independent Advisor Alliance กล่าว

ตอนนี้ความฮึกเหิมของนักลงทุนอาจจะลดลงไป ความฝันที่คาดเอาไว้ว่าจะลดดอกเบี้ยมากกว่าสามครั้งหรือเริ่มเร็วกว่าที่คิดอาจจะไม่เกิดขึ้น ตลาดค่อนข้างเปราะบางและพร้อมปรับฐานอยู่แล้ว ในจังหวะนี้ใครก็ตามที่ลงทุนควรระมัดระวัง เฟดจะลดดอกเบี้ยในท้ายที่สุดแล้ว แต่อาจจะแค่ไม่ได้เร็วหรือแรงตามที่เราคาดหวังเท่านั้น