ด้วยสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่ภาวะตลาดมีความผันผวนสูง การถือครองสินทรัพย์เพียงชนิดเดียวในพอร์ตโฟลิโออาจไม่เพียงพอที่จะสร้างความสม่ำเสมอของผลตอบแทน และกระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมอีกต่อไป

ลำพังแค่การหาสินทรัพย์ที่เหมาะสมว่ายากแล้ว จะปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวันก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

นับว่าโชคดี ที่ทุกวันนี้มีเครื่องมือการลงทุนมากมายที่ช่วยให้การจัดสรรพอร์ตการลงทุนง่ายกว่าแต่ก่อน เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม และหนึ่งในสุดยอดเครื่องมือนั้นก็คือ KFCORE กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลคอร์อโลเคชั่น กองทุนหนึ่งเดียวสำหรับทุกพอร์ตการลงทุน จาก บลจ.กรุงศรี

ใครที่ได้ศึกษาเรื่องการลงทุนมาบ้าง จะเข้าใจดีว่าสินทรัพย์แต่ละชนิดมีช่วงเวลาทองที่เหมาะสมต่างกันไป บางครั้งหุ้นจะขึ้น และตราสารหนี้จะซบเซา แต่บางครั้งหุ้นจะหงอยเหงา และตราสารหนี้จะคึกคัก

คำถามคือ แล้วนักลงทุนจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงเวลาไหนควรลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้? 

จุดนี้เองที่กองทุน KFCORE มาช่วยตอบคำถามดังกล่าว เพราะ KFCORE เป็นกองทุนที่ปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม หากช่วงไหนที่ทีมผู้จัดการกองทุนเห็นว่าตลาดหุ้นมีโอกาสเติบโต เงินลงทุนส่วนใหญ่จะถูกใส่ไว้ในตลาดหุ้น หรือหากช่วงไหนเห็นว่าเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง เงินลงทุนส่วนใหญ่ก็จะถูกใส่ไว้ในตราสารหนี้

หลายคนอาจบอกว่ากองทุนแบบนี้มีอยู่มากมายให้เลือก ทำไมต้องเป็น KFCORE?

คำตอบคือ เพราะ KFCORE เป็นกองทุนที่เกิดจากความร่วมมือของกรุงศรีและ BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (อ้างอิงข้อมูลจาก Statista.com ณ 7 ก.ค. 63 โดยการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ AIMC แต่อย่างใด) ปัจจุบัน BlackRock มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอยู่กว่า 7.8 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ที่มา: BlackRock ณ 30 ก.ย. 63) และ BlackRock จะเป็นผู้บริหารเงินกองทุนนี้โดยตรงผ่านทีมงานมืออาชีพในฝ่ายของ Tactical Asset Allocation ที่เชี่ยวชาญในกลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายตามสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ

การที่มีผู้จัดการกองทุนระดับโลกอย่าง BlackRock ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มาอย่างยาวนานเป็นผู้ดูแลบริหารเงินลงทุน ย่อมหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงสินทรัพย์ได้หลากหลายกว่า พร้อมด้วยการปรับพอร์ตที่รวดเร็วทันสถานการณ์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ซึ่งน่าจะหมายถึงโอกาสรับผลตอบแทนและการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมกว่าเดิมอีกด้วย

จุดเด่นในแง่กลยุทธ์การบริหารกองทุนของ BlackRock คือทีมบริหารมีการใช้ Big Data ในการบริหารจัดการข้อมูล โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยมหภาคที่เป็นตัวขับเคลื่อนปัจจัยพื้นฐานของแต่ละสินทรัพย์  เพื่อเฟ้นหาสินทรัพย์ที่ราคาผิดไปจากที่ควรจะเป็นมากกว่าการวิเคราะห์หุ้นรายตัว และใช้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้จัดการกองทุนและทีมนักวิเคราะห์ของ BlackRockทั่วโลก  ควบคู่ไปกับ Tactical Asset Allocation ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่น เน้นการปรับพอร์ตเชิงรุกอย่างรวดเร็ว เพื่อจัดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆให้สอดคล้องกับภาวะตลาด กลยุทธ์นี้จึงเหมาะกับภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูงและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่น ข้อมูลแถลงของธนาคารกลางสหรัฐที่ตามปกติแล้ว

นักวิเคราะห์ทั่วไปจะต้องอ่านและตีความเนื้อหาดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่ทีมนักวิเคราะห์ของ BlackRock จะใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลเหล่านั้นควบคู่ไปกับการใช้ Tactical Asset Allocation เพื่อให้ได้กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด ว่าควรลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าไหร่ นี่เป็นข้อได้เปรียบอีกอย่างของบริษัทจัดการกองทุนใหญ่ๆ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางการลงทุนมากกว่า

นับตั้งแต่ปี 2013 ประวัติผลตอบแทนย้อนหลังของกลยุทธ์การลงทุนแบบ  Tactical Asset Allocation เฉลี่ย อยู่ที่ 5.90% ต่อปี และในปีที่ดีที่สุด สามารถทำผลงานได้ถึง 15.70% เลยทีเดียว หรือแม้แต่ในปีที่แย่ที่สุด กลยุทธ์ Tactical Asset Allocation ก็ยังขาดทุนเพียง -0.90% เท่านั้น 

ทั้งนี้ ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่างจากการทำ Back Test ทดสอบสมมติฐานผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ Tactical Asset Allocation โดยเป็นข้อมูลผลตอบแทนรายสัปดาห์ตั้งแต่ ม.ค. 56 - ก.ค. 63 ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่ผลตอบแทนของกองทุนนี้ (ที่มา : BlackRock ณ 31 ก.ค. 63 / ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)

กลยุทธ์ Tactical Asset Allocation จะเน้นการลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลักเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน คิดเป็นสัดส่วน 50-80% ของเงินลงทุนทั้งหมด และอีก 20-50% จะลงทุนในหุ้นเพื่อโอกาสการเติบโตของเงินลงทุน และมีการกระจายการลงทุนรายประเทศมากกว่ารายอุตสาหกรรม โดยปรับสัดส่วนตามสภาวะทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น

ถึงแม้ว่าจะเน้นสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไปที่ตราสารหนี้ แต่กองทุนก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอภายใต้ระดับความผันผวนที่เหมาะสม สะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งของกลยุทธ์ Tactical Asset Allocation ที่เน้นความรวดเร็วในการปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดได้เป็นอย่างดี

แล้วกองทุน KFCORE เหมาะกับใครบ้าง?

จะเรียกว่าเหมาะกับนักลงทุนแทบทุกคนที่ชื่นชอบกองทุนรวมก็ว่าได้ โดยไม่จำกัดว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบในหุ้นหรือตราสารหนี้ ด้วยคอนเซปต์ของกองทุนที่ว่า "กองทุนหนึ่งเดียวสำหรับทุกพอร์ตการลงทุน” สะท้อนในชื่อ เพราะคำว่า CORE หมายถึงแกนหลัก ผู้ลงทุนสามารถใช้ KFCORE เป็นกองทุนหลักในพอร์ตการลงทุนได้  เพราะกองทุนมีการปรับสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาดอยู่แล้ว ช่วงไหนที่ตลาดหุ้นดี เงินลงทุนก็จะไปอยู่ในตลาดหุ้นเยอะขึ้น และช่วงไหนตราสารหนี้เป็นใจ เงินลงทุนก็จะไปอยู่ในตราสารหนี้ โดยมุ่งเน้นที่ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน นักลงทุนไม่ต้องปรับเปลี่ยนเองให้วุ่นวายใจแม้แต่น้อย

สำหรับท่านที่สนใจ กองทุน KFCORE จะเริ่มเปิดให้จองซื้อครั้งแรกในวันที่ 15 – 27 ตุลาคม 2563 โดยกำหนดเงินซื้อครั้งแรกอยู่ที่ 50,000 บาท และสามารถซื้อเพิ่มในครั้งถัดไปได้ที่ขั้นต่ำ 2,000 บาท และพิเศษสำหรับท่านที่จองซื้อตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป ในทุกๆ 100,000 บาท ทาง บลจ.กรุงศรี ยังมอบหน่วยลงทุนใน KFCORE ให้เพิ่มอีก 100 บาทด้วย เมื่อลงทุนตามเงื่อนไข ทั้งนี้ กองทุน KFCORE มีระดับความเสี่ยง 5 : เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

ใครที่สนใจดูเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/2SOYy5w หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร 02-657-5757 หรือ เว็บไซต์ www.krungsriasset.com และธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา

ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial