ปัจจุบันเทรนด์ของคนอยากมีลูกลดน้อยลงมาก ส่วนใหญ่มักจะมีสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นตัวแทนลูกของตัวเองจริง ๆ จนกลายเป็นเทรนด์ ‘Pet Humanization’ ที่สามารถต่อยอดไปเป็นธุรกิจสัตว์เลี้ยงหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดสัตว์เลี้ยง ทาสหมา ทาสแมว ที่มีกำลังซื้อสูงได้มากขึ้น

โดยผลสำรวจล่าสุด ณ เดือนมกราคม ปี 2566 ของมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) พบว่า 49% ของกลุ่มตัวอย่างที่เลี้ยงสัตว์เป็นลูก หรือ Pet Humanization จะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์อยู่ประมาณ 14,200 บาท ต่อตัวต่อปีเลยทีเดียว จึงไม่แปลกใจเลยว่ากลุ่ม Pet Humanization นี้จะกลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนจำนวนมาก

วันนี้ aomMONEY จึงจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับเทรนด์ Pet Humanization ในมุมมองของธุรกิจสัตว์เลี้ยงต่างๆ ที่เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการ Make Money ให้กับทุกคนกัน

โดยก่อนที่เราจะพาไปดูมุมมองธุรกิจสัตว์เลี้ยงต่างๆ กันนั้น เราขอไปรู้จักกับ Pet Humanization ว่าคืออะไร และมีที่มาที่ไปมาจากไหนกันก่อน

รู้จักกับ Pet Humanization คืออะไร 

Pet Humanization หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘Pet Parents’ คือ พฤติกรรมของเจ้าของสัตว์เลี้ยง ทาสหมา ทาสแมว ที่เลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นลูกของตัวเองจริง ๆ โดยไม่ได้มีทัศนคติที่เหมือนกับการเลี้ยงสัตว์ทั่วไปหรือเลี้ยงไว้ใช้เพื่อประโยชน์ต่าง ๆ แต่กลับมองว่าสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสิ่งสำคัญที่แสนพิเศษของครอบครัว โดยผู้เลี้ยงจะให้ความสำคัญและทุ่มเทเกี่ยวกับการดูแลเลี้ยงดูสัตว์ในทุก ๆ เรื่อง ตั้งแต่อาหารการกิน ของเล่น เครื่องใช้ และอื่น ๆ อีกมากมาย และไม่ว่าผู้เลี้ยงจะทำกิจกรรมอะไร หรือไปเที่ยวที่ไหน ก็มักจะนำสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไปร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นด้วยกัน

ที่มาของเทรนด์ Pet Humanization

โดย Humanization มีจุดเริ่มต้นมาจากไลฟ์สไตล์หรือพฤติกรรมของคนในยุคนี้ ที่ชอบอยู่เป็นโสดไม่ต้องการสร้างครอบครัว หรือแต่งงานแล้วไม่อยากมีลูก จึงเลี้ยงสัตว์เหมือนลูกมาทดแทน เพื่อเป็นเพื่อนสนิทและพร้อมสนุกกับการใช้ชีวิตไปด้วยกัน จนมาในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้หลายคนต้องใช้ชีวิตและทำงานอยู่กับบ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทาสหมา ทาสแมว และสัตว์เลี้ยงได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นจนเกิดความรักความผูกพันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดกระแส Pet Humanization ขึ้นมาชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งพฤติกรรมการเลี้ยง Pet Humanization จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ส่งผลให้ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงเติบโตตามขึ้นไปด้วย ซึ่งจะเติบโตอย่างไรบ้าง วันนี้ aomMONEY จะพาไปดูกัน

Pet Humanization ส่งผลให้ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างไร

เดิมทีธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงได้รับความนิยมมากในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจบริการที่จำเป็นเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับทาสหมา ทาสแมว ที่ไม่มีเวลาดูแลสัตว์เลี้ยงของเราอย่างเต็มที่ เช่น ธุรกิจอาบน้ำตัดขน และธุรกิจโรงเรียนฝึกสัตว์เลี้ยง เป็นต้น แต่พอเทรนด์ Pet Humanization ได้รับความนิยมมากขึ้น ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงจึงมีการเติบโตไปมากมายหลากหลาย เช่น ธุรกิจร้านอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ธุรกิจสปาสำหรับสัตว์เลี้ยง และธุรกิจ Pet-Friendly ที่สามารถให้สัตว์เลี้ยงเข้าได้ เป็นต้น

ซึ่งการเติบโตของธุรกิจนั้นทางกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ในปี 2563 - 2565 ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงมีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยปี 2563 จดทะเบียนจัดตั้ง 63 ราย ทุนจดทะเบียน 101.90 ล้านบาท, ปี 2564 จัดตั้ง 68 ราย ทุน 119.13 ล้านบาท และปี 2565 จัดตั้ง 130 ราย ทุน 210.35 ล้านบาท ซึ่งสามารถทำกำไรในปี 2563 ได้ 46.31 ล้านบาท และปี 2564 ได้ 127.76 ล้านบาทเลยทีเดียว

โดยธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงนั้นส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทย มีมูลค่าการลงทุน 1,334.93 ล้านบาท คิดเป็น 98.19% ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ จีน มูลค่า 5.15 ล้านบาท รองลงมา คือ ญี่ปุ่น มูลค่า 5.02 ล้านบาท, อังกฤษ มูลค่า 3.88 ล้านบาท และอื่น ๆ มูลค่า 10.62 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 243 ราย รองลงมา คือ ภาคกลาง 130 ราย และภาคตะวันออก 49 ราย

ซึ่งจากการเติบโตของธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงและผลกำไรที่ในธุรกิจที่มากขึ้น อาจทำให้หลายคนเกิดความสนใจในธุรกิจเกี่ยวกับบริการดูแลสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น วันนี้ aomMONEY จึงจะขอพาทุกคนไปโอกาสทำเงินจากเทรนด์ Pet Humanization กัน

โอกาสทำเงินจากเทรนด์ Pet Humanization

1. ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยง

ปัจจุบันมีธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงใหญ่ ๆ ในประเทศมากมาย การเริ่มสร้างโอกาสทำเงินจากธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงได้ง่าย ๆ อาจเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัทที่ทำธุรกิจบริการดูแลสัตว์ต่างๆ เช่น

  • ธุรกิจสายการบิน เป็นธุรกิจที่เกาะเทรนด์ Pet Humanization นี้ เพื่อหารายได้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยจะให้บริการขนส่งสัตว์เลี้ยงผ่านสายการบินที่สามารถส่งข้ามประเทศไปจนถึงข้ามทวีป นอกจากนี้ ยังมีบางสายการบินที่เปิดเอาใจทาสหมา ทาสแมว ได้พาสัตว์เลี้ยงกลุ่มสุนัข แมว กระต่าย ชินชิล่า ชูการ์ไกลเดอร์ และหนู นั่งข้างไปกับเจ้าของตลอดการเดินทางได้เลย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบริการที่ถูกใจทาสหมา ทาสแมวอย่างมาก ดังนั้น เพียงเรามองหาหุ้นในธุรกิจสายการบินที่มีบริการเหล่านี้เราก็มีโอกาสทำเงินจากเทรนด์ Pet Humanization ได้แล้ว
  • ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ เป็นธุรกิจที่มานานมากก่อนเทรนด์ Pet Humanization จะชัดเจนมากขึ้น ด้วยเรื่องสุขภาพของสัตว์เลี้ยงที่เป็นสิ่งสำคัญอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมการเลี้ยงแบบเทรนด์ Pet Humanization หรือไม่ การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ย่อมมีโอกาสทำเงินได้ไม่ยาก แต่หากต้องการเจาะกลุ่มเทรนด์ Pet Humanization จริงๆ ก็สามารถเลือกธุรกิจชื่อดังที่มีการนำเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการสัตว์เลี้ยง ก็อาจจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่คนในเทรนด์ Pet Humanization สนใจ และสร้างการทำเงินได้มากขึ้น
  • ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงถูกพัฒนาไปได้ไกลมาก ๆ เช่นเดียวกับธุรกิจร้านค้าออนไลน์ที่มีแพลตฟอร์มสำหรับสั่งอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยง อาหารสัตว์ หรือของเล่น โดยเฉพาะ ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับทาสหมา ทาสแมว ในกลุ่มเทรนด์ Pet Humanization ที่ต้องการเลือกสินค้าครบจบในแพลตฟอร์มเดียว และต้องการรีวิวที่จริงใจจากผู้ใช้จริงที่เป็น Pet Humanization เหมือนกันมาก ๆ การลงทุนในธุรกิจนี้จึงน่าสนใจมากในยุคปัจจุบัน
  • ธุรกิจประกันสัตว์เลี้ยง เป็นรับประกันอุบัติเหตุและเจ็บป่วยของสัตว์เลี้ยง เพื่อสร้างความอุ่นใจและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้เลี้ยงได้ ทำให้เป็นธุรกิจของคนที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกแบบ Pet Humanization อย่างแท้จริง ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทที่ทำธุรกิจประกันสัตว์เลี้ยงก็จะทำธุรกิจประกันคนทั่วไปอยู่แล้ว หากลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้ ก็มีโอกาสเติบโตได้จากทั้ง 2 ทางเลยทีเดียว
  • ธุรกิจอสังหาฯ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ปรับตัวตามเทรนด์ Pet Humanization อย่างมาก โดยบริษัทอสังหาฯ จะมีการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เหมาะกับสัตว์เลี้ยงเป็น Pet-Friendly เพิ่มฟังก์ชันจัดโซนสำหรับ Pet Zone และ Dog Toilet เป็นพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงมีการเลือกใช้วัสดุที่ทนน้ำและเก็บกลิ่น  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทาสหมา ทาสแมว มากที่สุด จึงไม่แปลกเลยที่ธุรกิจประเภทนี้จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน

2. การใช้สัตว์เลี้ยงมาทำแคมเปญเพื่อโฆษณาหรือเป็นจุดขายในสินค้ามากขึ้น 

แม้ธุรกิจของเราจะไม่ใช่สินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงโดยตรง แต่เราก็สามารถนำสัตว์เลี้ยงมาใช้เป็นจุดขายเพื่อทำแคมเปญเพื่อโฆษณาได้ ซึ่งหากทาสหมา ทาสแมว ที่ตามสัตว์เลี้ยงในโลกออนไลน์อยู่แล้วเกิดเห็นโฆษณาของเราผ่านตัวสัตว์เลี้ยง ก็อาจทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าของเราได้

3. ทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง

หากใครที่มีความสนใจในการเป็นเจ้าของธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสทำเงินจากเทรนด์ Pet Humanization มากขึ้น ปัจจุบันก็ยังมีทางเลือกธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมากมายที่ไม่ต้องใช้การลงทุนมากเหมือนระดับอุตสาหกรรม แต่ก็ได้ผลตอบแทนน่าสนใจไม่น้อย ซึ่งเราสามารถเลือกตามความถนัดของตัวเองได้เลย

อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจจากเทรนด์ Pet Humanization จะทำเงินให้เรามากมายเท่าไหร่ แต่เราควรทำธุรกิจด้วยความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง ไม่ใช้งานหรือบังคับขืนใจสัตว์เลี้ยงจนไม่มีความสุข และควรนึกถึงผลกระทบด้านต่างๆ ให้มากที่สุดด้วย

make-money-pet-humanization1

บทความนี้เป็น Advertorial