‘หนี้’ (Obligation) เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ‘เจ้าหนี้’ มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียก ‘ลูกหนี้’ ทำหรือไม่ทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่า‘หนี้’ (Obligation) เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ‘เจ้าหนี้’ มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียก ‘ลูกหนี้’ ทำหรือไม่ทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่า#ความมั่งคั่งยเจ้าหนี้ได้

ในขณะที่ ‘หนี้สิน’ (Debt) คือ เงินที่ผู้หนึ่งเรียกว่า ‘ลูกหนี้’ ติดค้างอยู่จะต้องใช้ให้แก่อีกผู้หนึ่งเรียกว่า ‘เจ้าหนี้’ เรียกสั้นๆ ว่า หนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

💰หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ส่วนตัวในการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่ายเพียงอย่างเดียวในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้

กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ: รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ - กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน

💰หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้

การซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน โดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่าย และรับในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้

➡️เงินสดคงเหลือสุทธิ: รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์

หนี้สองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร?

ตัวอย่าง

ลูกหนี้มีความสามารถในการกู้ยืมเป็นจำนวน 6,000,000 บาท โดยมีการจัดสรรเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (50%) และเพื่อใช้ส่วนตัว (50%) รายการละ 3,000,000 บาท ซึ่งมีระยะเวลาผ่อน 360 เดือน ผ่อนเดือนละ 20,000 บาท (กรณี ปล่อยเช่า ได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท) และมีข้อมูลเพิ่มเติม คือ ผู้กู้มีรายได้หลัก 50,000 ต่อเดือน ค่าใช้จ่ายประจำ 25,000 บาท (ข้อมูลทางการเงินไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา 360 เดือน) มูลค่าโดยระบุไปตามหนี้สิน 2 กลุ่ม ดังนี้

💰หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ - กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน

กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
= 50,000 – 25,000 – 20,000
= 5,000 ต่อเดือน

💰หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้

กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่าย + กระแสเงินสดรับ
= 50,000 – 25,000 – 20,000 + 10,000
= 15,000 ต่อเดือน

จะเห็นว่ากระแสเงินสดรับต่อเดือนที่แตกต่างกันนั้น จะส่งผลต่อการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเมื่อนำมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด มารวมด้วย โดยหาจากสมการ ดังนี้

มูลค่าทรัพย์สิน ณ วัน สิ้นงวด = (กระแสเงินรับต่อเดือน * ระยะเวลา) + มูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด

➡️กรณีที่ 1 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
= (5,000 * 360) + 6,000,000
= 1,800,000 + 6,000,000
= 7,800,000 บาท

➡️กรณีที่ 2 หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
= (15,000 * 360) + 6,000,000
= 5,400,000 + 6,000,000
= 11,400,000 บาท

➡️ส่วนต่าง ของ กรณีที่ 2 - กรณีที่ 1
= 11,400,000 – 7,800,000
= 3,600,000 บาท

จากข้อมูลดังกล่าว หากเลือกบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม หนี้สินจะทำให้คุณมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีก 3,600,000 บาท ณ วันสิ้นงวดบัญชีของการผ่อนชำระ

เราจึงเห็นได้ว่า ‘หนี้สิน’ ไม่ได้เป็นการสร้างภาระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีแฝงอยู่ข้างใน เพียงแค่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะสร้างหนี้เพื่ออะไร และจะบริหารจัดการกระแสเงินสดต่อเดือนอย่างไร เพียงเท่านี้ ‘หนี้’ ก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อย่างแน่นอน

เขียนโดย ณัฐศรันย์ ธนกฤตภิรมย์ นักวางแผนการเงิน CFP®