ในช่วงนี้ ปัญหาเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ได้กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง และเชื่อว่า แต่ละคนคงเริ่มได้รับผลกระทบจากฝุ่นพิษนี้กันถ้วนหน้า

ข้อมูลล่าสุด (3 ก.พ. 2566) ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ได้เปิดเผยว่า ประเทศไทยมี 43 จังหวัด (หรือเกินกว่าครึ่งประเทศ) ที่ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานและส่งผลต่อสุขภาพ

ซึ่งอันตรายของฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ระคายเคืองตา คัดจมูก ไอ หรือผิวหนังอักเสบ และยิ่งไปกว่านั้น คือ ผลกระทบในระยะยาว จะมีผลทำให้การทำงานของปอดแย่ลง เสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอดอีกด้วยนะครับ

วิธีที่พอจะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ คือ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ และควรหันมาให้ความสำคัญกับ การจัดการความเสี่ยงเรื่องของสุขภาพของตัวเราเองเพิ่มมากขึ้น

เพราะถ้าเราเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้นมา นอกจากเสียเวลา เสียสุขภาพในระยะยาวแล้ว “เงินที่เก็บมาทั้งชีวิต” ก็เป็นอีกปัจจัยที่เราต้องเสียไปด้วยครับ

อย่างแรกเลย คือ การเสียไปกับค่ารักษาพยาบาล ที่ปัจจุบันถือว่าค่อนข้างสูงและเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว โดยข้อมูลจาก Release Your Risk ได้เปิดเผยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล โรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด ดังนี้

- โรคมะเร็ง 300,000 - 8,000,000 บาท
- โรคหลอดเลือดสมอง 110,000 - 800,000 บาท
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง 200,000 - 700,000 บาท
- โรคปอดระยะสุดท้าย เริ่มต้นประมาณ 365,000 บาท
- ไตวายเรื้อรัง ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน

นอกจากค่ารักษาพยาบาลแล้ว ไหนจะรายได้ที่หายไปจากการพักรักษาตัวอีก เพราะฉะนั้นเราจึงควรหาวิธีปกป้องเสี่ยงของเงินเก็บ ที่มีโอกาสจะสูญไปกับค่ารักษาพยาบาลครับ

และหนึ่งในทางเลือกนั้นที่ aomMONEY มองว่ามีประโยชน์และใช้งานได้จริง คือ ประกันสุขภาพ ที่จะช่วย Cover ค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลหรือถ้ามีส่วนต่างก็ไม่ต้องจ่ายมากจนหมดตัวครับ

ประกันสุขภาพ VS ประกันชีวิต ต่างกันอย่างไร ?

ขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ ประกันชีวิต คือ ประกันที่คุ้มครองจากการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพตามแต่ละความคุ้มครองของกรรมธรรม์ที่เราได้ทำไว้

ส่วน ประกันสุขภาพ เป็นประกันที่คุ้มครองเราในกรณีต่างๆ ที่เราทำสัญญาไว้ เช่น การรักษาพยาบาลจากโรค อุบัติเหตุ ชดเชยรายได้กรณีที่เราต้องรักษาตัวและนอนโรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระในส่วนของค่ารักษาให้เราได้ครับ ดังนั้นประกันชีวิตกับประกันสุขภาพเป็นคนละแบบกันนะครับ

โดยทั่วไปมีทั้งประกันสุขภาพแบบจ่ายเดี่ยวๆ หรือประกันชีวิตพ่วงสุขภาพก็มีครับ ทั้งนี้ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของตัวเองและกำลังจ่ายครับ

ข้อดีของคนมีประกันสุขภาพ

1. ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา

แม้ว่าปกติสิทธิพื้นฐานอย่างบัตรทอง และประกันสังคมจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลอยู่แล้ว แต่การรักษาด้วยเพียงสิทธิพื้นฐานอย่างเดียวอาจจะไม่ครอบคลุมเพียงพอต่อค่ารักษาทั้งหมด และมีค่าส่วนต่างครับ แต่หากเรามีประกันสุขภาพ ก็จะสามารถเข้ามาช่วยในส่วนนี้ได้ โดยเราสามารถใช้ร่วมกันกับประกันสังคมได้ครับ

2. สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไหนก็ได้

อย่างที่เล่าตอนแรกครับ ข้อนี้ทำให้ประกันสุขภาพ โดดเด่นจากบัตรทองและประกันสังคมที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เราขอรับสิทธิ์ไว้เท่านั้น ยกเว้นกรณีที่ฉุกเฉินจริง หรือมีการส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัดเราไปครับ ก็ถือได้ว่าค่อนข้างสะดวกกว่าครับ

3. ใช้ลดหย่อนภาษีได้

เราสามารถนำเบี้ยที่จ่ายประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท/ปี แยกจากประกันชีวิต และประกันบำนาญนะครับ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ทางรัฐบาลให้การสนับสนุนให้คนมีประกันสุขภาพครับ

จริงอยู่ที่หลายคนคิดว่า สิทธิบัตรทองหรือประกันสังคมก็สามารถใช้รักษาได้เช่นกัน แต่ว่าความแตกต่างอย่างแรกเลย ถ้ามีประกันสุขภาพก็แทบจะสามารถเข้าได้ทุกโรงพยาบาลที่ประกันเราทำสัญญาไว้ครับ ไม่เหมือนประกันสังคมที่ต้องเข้าในสถานพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น

คำแนะนำจาก aomMONEY

1.ประกันสุขภาพกับประกันสังคมใช้ร่วมกันได้ครับ
2.ถ้ามีประกันสุขภาพหลายตัวก็ใช้ร่วมกันได้เช่นกันครับ
3.ประกันสุขภาพเป็นเบี้ยจ่ายทิ้งรายปีครับ เลือกความครองที่เหมาะสมและจ่ายค่าเบี้ยไหวนะครับ
4.เช็กกับทางโรงพยาบาลที่เราต้องการใช้สิทธิเรื่องการจ่ายด้วยว่า รับประกันเจ้านี้ / ต้องสำรองจ่ายมั้ย จะได้ไม่มีปัญหาภายหลังครับ