วันนี้อยากจะชวนมาคุยประเด็นเรื่อง ‘บ้าน’ กันครับ และ ความเชื่อที่ว่าเราทุกคนควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง

(คำว่า ‘บ้าน’ ในที่นี้ รวมไปถึงพวกคอนโดฯ หรือ ทาวน์โฮม ต่าง ๆ ด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่บ้านเป็นหลังเท่านั้น)

เชื่อว่าเราทุกคนคงเคยได้ยินมาโดยตลอดว่าเมื่อเริ่มทำงานเก็บเงินได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ควรเอาไปซื้อ ‘บ้าน’ เป็นของตัวเอง เพราะการเป็นเจ้าของบ้านถือเป็นก้าวสำคัญของชีวิตและที่สำคัญมันคือสิ่งที่บ่งบอกกับคนอื่น ๆ ว่าชีวิตเรานั้นประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว

การซื้อบ้านคือการลงทุน คือสิ่งที่ต้องทำ เป็นการลงทุนที่ ‘ดีเสมอ’

คนมักจะบอกว่า คุณจ่ายค่าเช่าบ้าน ก็เหมือนทำให้เจ้าของบ้าน (คอนโดฯ หอพัก ทาวน์โฮม) พวกนั้นรวยขึ้น คุณกำลังผ่อนหนี้ให้พวกเขาอยู่ ทำไมไม่เอาเงินมาซื้อบ้าน ผ่อนบ้านเป็นของตัวเองดีกว่า อีก 20-30 ปี มันก็กลายเป็นของเราแล้ว

นี่คือสิ่งที่เราได้ยินคนอื่นพูดมาโดยตลอด ซึ่งจะต้องบอกว่า การมีบ้านไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีนะครับ แต่ว่าเราจะหลับหูหลับตาเชื่อว่ามัน ‘ดีเสมอ’ หรือ ‘เหมาะกับทุกคน’ ไม่ได้ครับ

เพราะการซื้อบ้านเป็นการลงทุนครั้งใหญ่มาก ๆ สำหรับบางคนอาจจะใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยด้วยซ้ำ จึงต้องคิดให้เยอะ ๆ ไม่ควรจะแค่เอาคำพูดหรือบรรทัดฐานความเชื่อของสังคมมากดดันตัวเองให้ทำตามสิ่งที่คนอื่นเชื่อด้วย

โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ราคาแพงมาก ๆ มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องซื้อหรือเป็นเจ้าของบ้านที่ตัวเองอยู่ ถ้าคุณเพิ่งเริ่มทำงาน หรือทำงานไปได้สักพักแล้ว หรือแม้แต่วัยกลางคน วัยเกษียณ ที่อาจจะไม่พร้อม ไม่มีเงิน หรือแม้แต่เลือกที่จะเช่าอยู่เพราะมันตอบโจทย์ชีวิตมากกว่า

การไม่ซื้อบ้าน เช่าเขาอยู่ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่ความล้มเหลวของชีวิต

รามิตร เศรษฐี (Ramit Sethi) เจ้าของหนังสือขายดี “ผมจะสอนให้คุณรวย” (ติดหนังสือขายดีของ The New York Times ด้วย) และผู้จัดรายการ “How to Get Rich” มินิซีรีส์การเงินที่เพิ่งเข้าฉายบน Netflix ตั้งคำถามว่า

บอกว่า “ผมเหนื่อยมากกับความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาของการเป็นเจ้าของบ้าน [...] คุณไม่ได้ล้มเหลวนะถ้าเช่าเขาอยู่”

เศรษฐีอธิบายต่อครับว่าที่จริงแล้วคนมักจะบอกว่าการเช่าก็เหมือนเอาเงินทิ้งไปทุก ๆ เดือน แทนที่จะเอาเงินมาซื้อบ้านของตัวเองเป็นการลงทุนไปด้วยในตัว เพราะไหน ๆ ก็จะจ่ายค่าเช่าบ้านอยู่แล้วก็เอาเงินมาใช้ตรงนี้ดีกว่า

แต่คนอื่นไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์หรือความต้องการของเราคืออะไรกันแน่ พวกเขาพูดจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อ มุมมองของตัวเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามุมมองนั้นผิด เพียงแต่อาจจะไม่ได้ตรงกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้ หรืออยากทำ หรือเหมาะกับคุณมากเท่าไหร่นัก

สิ่งที่เศรษฐีแนะนำคือคุณต้องรู้รายละเอียดทุกอย่างก่อน รู้ตัวเลขค่าใช้จ่ายของการเป็นเจ้าของบ้าน การเลือกอยู่ ข้อดีข้อเสียของมัน และความต้องการของคุณจริง ๆ ก่อนจะตัดสินใจ ไม่ได้หมายความว่าซื้อบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ดี หรือทำไม่ได้ แต่ให้ตัดสินใจจากชุดข้อมูลที่มี มากกว่าความเชื่อของสังคมที่บอกว่าต้องให้ทำแบบนี้

เพราะอย่าลืมว่าการมีบ้านมีค่าใช้จ่ายที่ตามมาอีกเยอะมาก ๆ กระบวนการซื้อก็ส่วนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็จะมีค่าบำรุงรักษา ค่าส่วนกลาง ค่าตบแต่งบ้าน ฯลฯ

และนอกจากนั้นแล้วการเลือกที่จะเช่าอยู่ก็อาจจะเหมาะกับสถานการณ์ของหลาย ๆ คนที่เอาเงินส่วนต่างของการเช่าและผ่อนบ้านของตัวเองไปทำอย่างอื่นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าในระยะยาว

สมมุติว่าค่าเช่าบ้านเดือนละ 5,000 บาท แต่ถ้าผ่อนบ้านของตัวเองอาจจะเดือนละ 12,000 บาท

ซึ่งส่วนต่าง 7,000 บาทนี้เราสามารถเอาไปลงทุนได้ สมมุติเก็บเงินส่วนนี้ไว้หนึ่งปีคือ 84,000 บาท เอาไปลงทุนได้ 6% ต่อปี ปีต่อไปเงินก้อนนี้ก็จะกลายเป็น 89,040 บาท ทีนี้ถ้าปีต่อมาเราเอาเงินที่เก็บทุกเดือนเติมเข้าไปอีก 84,000 บาท (เพราะเราก็ยังเก็บทุกเดือนอยู่) ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม 6% ... ทำแบบนี้ต่อไป 10 ปี เงินตรงนี้จะกลายเป็น 1.17 ล้านบาท เลยทีเดียว

แน่นอนครับหลายคนก็อาจจะมองว่าซื้อบ้านแล้วอีก 10 ปีขายก็ได้ อาจจะได้ราคาดีหรือกำไรมากกว่านี้ด้วย

ใช่ครับ...มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ หรือไม่เป็นก็ได้ นั่นคือเหตุผลที่เศรษฐีบอกว่าคุณต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าคุณคิดว่าการซื้อบ้านแล้วอีก 10 ปีจะขายเพื่อทำกำไร นั่นก็เป็นเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคนด้วย (แล้วอย่าลืมว่า 10 ปีที่ผ่านมาต้องเสียเงินค่าดูแลบ้านเหล่านี้ไปเท่าไหร่ด้วยนะครับ)�

สำหรับบางคนอาจจะมีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างออกไป อาจจะมีการย้ายงานบ่อย ย้ายบ้าน เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ไม่ได้คิดว่าจะแต่งงานหรือลงหลักปักฐาน การเช่าอยู่ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่มีอิสรภาพมากกว่าด้วย

เพราะฉะนั้นเมื่อเอาเหตุผลหลาย ๆ อย่างมารวมกันแล้ว เศรษฐีเลยรู้สึกว่าการเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาว่าต้องซื้อบ้านถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก

การลงทุนมีความเสี่ยง การซื้อบ้านก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะซื้อก็ต้องแน่ใจก่อนว่าซื้อเพราะอะไร รู้แล้วใช่ไหมว่าจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างและเรารับไหวแค่ไหน มีเงินสำรองฉุกเฉินรึยัง เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร สิ่งที่เราต้องการจากการซื้อบ้านคืออะไร

และถ้าคิดว่าการซื้อบ้านไม่ตอบโจทย์ ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินใจซื้อเพียงเพราะสังคมบอกว่าต้องทำอย่างนั้น

เช่าเขาอยู่ ไม่ซื้อบ้าน ไม่ใช่เรื่องผิดหรือความล้มเหลวในชีวิต แต่ถ้าตัดสินใจซื้อบ้านโดยไม่เข้าใจว่าโจทย์ชีวิตคืออะไร แบบนั้นค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว