"We wish you a merry Christmas, we wish you a merry Christmas….and a Happy New Year"

เข้าสู่เดือนธันวาคม พอเดินผ่านร้านรวง หรือ shop ต่างๆ ในห้าง ที่ประดับตกแต่งร้านในธีมคริสต์มาส คลอด้วยเสียงเพลงแบบนี้ทีไร หลายคนจะรู้สึกเหมือนมีพรายกระซิบบอกว่า "มาช็อปฉันซิๆ" จนเผลอใจอ่อน ต้องแวะเเข้าไปดู สุดท้ายก็ควักกระเป๋าซื้อสินค้าหลายชิ้นโดยไม่รู้ตัว

บ่อยครั้งที่นักช้อปพากันพูดติดตลกว่า เพลงคริสต์มาสเป็นเหมือนยากล่อมประสาท พอได้ยินทีไร ก็อยากช้อปปิ้งซะทุกที!! จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก บรรดาห้างใหญ่ๆ จะพากันเปิดเพลงธีมคริสต์มาสกันแบบสู้ตาย เหตุผลนอกเหนือจากให้เข้ากับเทศกาลก็คือเพื่อกระตุ้นยอดขายส่งท้ายปลายปี

Dr. Adrian North แห่ง Curtin University ประเทศออสเตรเลีย เคยศึกษาเรื่องนี้และพบว่า เพลงคริสต์มาส มีผลต่ออารมณ์คนเราเป็นอย่างมาก ดังนั้น พอผู้คนได้ยินเพลงนี้ในช่วงเทศกาล จะรู้สึกถึงความร่าเริงสนุกสนาน อยากทำสิ่งดีๆ ให้กับตนเองและผู้อื่น สุดท้ายก็จบลงด้วยการควักกระเป๋าช้อปปิ้งซื้อของขวัญให้กันนั่นเอง

สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Washington State University พบว่า เมื่อผู้คนได้ยินเพลงคริสต์มาสที่มาพร้อมกลิ่นของ สน หรือ อบเชย ในร้านค้า ก็จะทำให้พวกเขาใช้เวลาอยู่ในร้านมากขึ้น และ ยิ่งอยู่ในร้านนานขึ้นเท่าไหร่ แนวโน้มที่จะอยากซื้อของเพิ่มอีกซักสองสามชิ้นก็เกิดขึ้น แม้ว่าจะสิ่งของเหล่านั้นคุณจะไม่ต้องการก็ตาม

ไม่เพียงแต่เสียงเพลงคริสต์มาสที่ทำให้ช้อปปิ้งง่ายขึ้น เชื่อว่ามีอีกหลายคน ที่เวลาเห็นสินค้าแบรนด์ต่างๆ เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ อวดอ้างสรรพคุณว่าเป็น “รุ่นลิมิเต็ด” ผลิตมาเพื่อเทศกาลนี้โดยเฉพาะ ก็พากันใจสลาย สุดท้ายโดนตกให้ซื้อสินค้าแบบไม่รู้ตัว

บอกเลยนี่เป็นอิทธิพลของ Scarcity Effect นั่นก็คือการที่คนเราคิดไปเองว่า สินค้าบางอย่างนั้นหายาก หรือมีให้เราซื้อแค่ช่วงเวลาสั้นๆ พอรู้สึกว่าของมีอยู่จำกัด ซื้อได้แค่ช่วงคริสต์มาสเท่านั้น ก็ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีพอถึงความจำเป็น ก็ตัดสินใจซื้อซะแล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าถ้าพลาดไป ก็อาจไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว บางคนถึงกับเรียกว่าเป็น Christmas Effect ด้วยซ้ำ

เท่านั้นยังไม่พอ พอเห็นร้านรวง หรือ shop ต่างๆ ประดับตกแต่ง ต้นสน กวางเรนเดียร์ ซานตาครอส ของขวัญ สีแดง สีเขียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่ออารมณ์และการรับรู้ของคนเราเช่นกัน อย่าง สีแดงช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้จ่าย ขณะที่สีเขียวก็สื่อถึงการมองโลกในแง่ดี ทำให้เราอยากทำดีด้วยการแบ่งปันคนอื่นเป็นต้น

แถมพอ ห้างดังๆ ต่างพร้อมใจกันเปิดเพลงคริสต์มาส จุดเทียนกลิ่นวานิลลา และสร้างบรรยากาศแบบคริสต์มาสในร้านในช่วงปลายปี ซึ่งตรงกับช่วงที่หลายๆ คนต้องช้อปปิ้งซื้อของขวัญให้ตัวเอง และคนรอบข้าง สิ่งนี้ก็ยังผลักดันให้บรรดานักช้อป เข้าสู่เงื่อนไขทฤษฎี Classical Conditioning Theory

ซึ่ง อีวาน พาฟลอฟ นักจิตวิทยาและสรีรวิทยาชาวรัสเซีย เจ้าของทฤษฎี อธิบายว่า การตอบสมองของมนุษย์มักเกิดจากสิ่งเร้า ดังนั้น พอได้ยินเสียงเพลงคริสต์มาสช่วงปลายปี ก็อยากออกไปช้อปปิ้งกันแบบอัตโนมัติเลยทีเดียว

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บรรดาห้างร้านต่างๆ จะกวาดรายได้มหาศาลใน ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ล่าสุด Statistics บริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญข้อมูลด้านการตลาดชั้นนำระดับโลก จะคาดการณ์ว่า ยอดขายสินค้า ทั้ง ออนไลน์ และ ร้านค้า เฉพาะในประเทศอังกฤษ ช่วงเทศกาลคริสต์มาส 2023 จะมีมูลค่า ราว 84.90 พันล้านปอนด์อังกฤษ เลยทีเดียว

เอาล่ะ พอรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของ คริสต์มาส เซล ช่วงส่งท้ายปลายปีแบบนี้แล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่า ต้องตั้งสติก่อนช้อปปิ้ง เพราะเอาเข้าจริง คงไปห้ามคุณๆ ทั้งหลายเลิกช้อป หรือ ตัดตัวเองออกจากสังคมไม่ได้ เพียงแต่อยากย้ำเตือนซักนิดว่า ก่อนซื้ออะไร ควรมั่นใจว่า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และ คุ้มค่ากับการใช้งานจริงๆ เพราะไม่งั้นพอถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสทีไร ก็อาจต้องเจอกับภาวะกระเป๋าฉีกเป็นแน่