“เอาของเก่ามาขาย หมายความว่า เป็นคนไม่มีเงิน?”

ภาพจำส่วนใหญ่คือเรามักจะคิดว่า คนที่เอาทรัพย์สินของตัวเองมาขาย เป็นคนที่ถังแตก ไม่มีรายได้จากทางอื่นแล้ว จึงต้องตัดใจปล่อยของมือสอง จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ การที่เรานำของมือสองมาขาย ถือเป็นการบริหารเงินในรูปแบบหนึ่งที่ดีเลยทีเดียว ถ้าเรามีของที่ไม่ใช้แล้ว แต่ยังสภาพดีอยู่ ทำไมจะเอามาเปลี่ยนเป็นเงินไม่ได้ล่ะครับ?

📣 ยกตัวอย่างการบริหารเงินด้วยของมือสองแบบง่ายๆ

1. เราเป็นคนชอบแต่งตัวตามแฟชั่น

แฟชั่นนิสต้าอย่างเรา ก็ต้องแต่งตัวตามเทรนด์เพื่อความชิค แต่การซื้อเสื้อผ้าใหม่บ่อยๆ วันหนึ่งมันก็จะเยอะจนล้นตู้ ดังนั้นการนำออกมาขายมือสองก็ถือเป็นการบริหารเงินที่ดี นอกจากจะได้เคลียร์ของเดิมออกไปแล้ว ยังได้เงินมาซื้อของใหม่ที่ต้องการอีกด้วย

2. เจ้าพ่อเจ้าแม่แกดเจ็ต

สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด! ของมันต้องมี! แล้วแต่ละค่ายก็ขยันออกแกดเจ็ตต่างๆ บ่อยเหลือเกิน ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ๆ ก็เอาเครื่องเดิมไปขายมือสอง แล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อเครื่องใหม่ แบบนี้เรียกว่าตามกระแสอย่างชาญฉลาดนะครับ

การขายของมือสองยังเป็นอะไรที่วิน-วิน คือได้ประโยชน์ทั้งคนซื้อ-คนขาย นอกจากคนที่ซื้อจะได้ของสภาพดีในราคาถูก ก็ยังช่วยลดปริมาณขยะให้โลกของเรา ส่วนคนขายก็ได้ปล่อยของ ได้เงินเอาไปทำอย่างอื่น หรือสำหรับคนที่ขาดสภาพคล่อง การเลือกของที่ไม่ได้ใช้แล้วมาขาย ก็ทำให้มีเงินหมุนใช้จ่าย ไม่ต้องควักเงินออมอีกด้วย

✅ ทรัพย์สินแปลงเป็นเงินสดได้ก็จริง แต่สิ่งสำคัญคืออย่าลืม “เงินสำรองฉุกเฉิน”

แม้ว่าการขายของมือสองจะเป็นวิธีบริหารเงินที่ดี แต่อย่าลืมว่ากว่าที่เราจะขายของชิ้นนั้นๆ ได้ บางครั้งต้องใช้เวลา ซึ่งเราอาจมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้เงิน ดังนั้น “เงินสำรองฉุกเฉิน” จึงสำคัญเสมอ ข้อนี้อยากให้เพื่อนๆ ท่องไว้ให้ขึ้นใจ ใครที่ยังไม่มีเงินก้อนนี้ ก็อยากให้วางแผนออมเงินสำรองฉุกเฉินแบบจริงจัง ถ้าวันหนึ่งเกิดวิกฤตเราจะได้มีเงินส่วนนี้มาใช้จ่ายนะครับ

สุดท้าย aomMONEY อยากฝากถึงทุกคนว่า การขายของเก่า ไม่ได้หมายความว่า “เป็นคนไม่มีเงิน” การนำทรัพย์สินบางอย่างที่ไม่ได้ใช้ หรือเก็บไว้นานก็ราคาตก มาเปลี่ยนให้เป็นเงินสดเพื่อใช้จ่าย เป็นเพียงอีกวิธีหนึ่งในการบริหารเงินเท่านั้น และแน่นอนว่าการขายของเก่าที่ไม่จำเป็น ย่อมดีกว่าการหยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้จ่าย จนเกิดเป็น “หนี้สิน” แน่นอนครับ