เชื่อว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นคนอยู่หลักๆ 2 ประเภท คือ คนที่แต่งงาน และคนที่ไปงานแต่ง ค่อนข้างเยอะ เพราะเมื่อความรักสุกงอมเต็มที่ และได้ช่วงเวลาที่เหมาะสม ก็จะเกิดงานแต่งขึ้น
หากว่ากันตามประเพณีการสู่ขอตามขนบธรรมเนียมของการแต่งงานแบบไทย ฝ่ายชายจะต้องไปสู่ขอหญิงที่ตนเองรักกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง มีการให้สินสอด ของหมั้นอย่างถูกต้องเสียก่อน
สินสอดคืออะไร?
สินสอด คือทรัพย์สินที่เป็นเสมือนค่าตอบแทนการยินยอมสมรส ในประเทศไทยจะหมายถึงทรัพย์สินของฝ่ายชายที่ให้แก่พ่อแม่หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง สินสอดจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่นๆ ก็ได้ เช่น ทอง เพชร ฯลฯ
ของหมั้นคืออะไร?
ของหมั้น คือ ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายจะให้แก่หญิงคู่หมั้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น ของหมั้นจึงต้องให้ก่อนสมรส โดยฝ่ายชายจะให้ของหมั้นในขณะทำสัญญาและฝ่ายหญิงต้องรับของหมั้นไว้ ของหมั้นจะตกเป็นของฝ่ายหญิงเพื่อเป็นสมบัติติดตัวตอนแต่งงานนั่นเอง
สินสอด กับ ของหมั้น ต่างกันอย่างไร?
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1437 ได้ระบุไว้ว่า “สินสอด” จะต้องตกลงจำนวนสินสอดกันก่อนสมรส แต่สามารถมอบให้ก่อนหรือหลังสมรสก็ได้ โดยเมื่อมอบแล้วจะตกเป็นของพ่อแม่ฝ่ายหญิงทันที ส่วน “ของหมั้น” จะต้องให้ก่อนสมรสเท่านั้น และทรัพย์สินจะเป็นของติดตัวฝ่ายของฝ่ายหญิง
สินสอด ของหมั้นที่ได้รับต้องเสียภาษีหรือไม่?
ตามกฎหมาย สรรพากรระบุว่า บุคคลธรรมดาที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หลักๆ แล้วมี 2 คน คือ คนที่เป็นคน(บุคคลธรรมดา) กับ คนที่ไม่ใช่คน(นิติบุคคล)
โดยสรรพากรกำหนดว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะ อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
(1) บุคคลธรรมดา (ก็คือ พวกเรานั่นแหละ)
(2) ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี แปลว่า ต่อให้ปีทีผ่านมา เราเสียชีวิตแล้ว เราก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษี
(3) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง คือ ตายไปแล้ว แต่มรดกลูกหลานยังตกลงแบ่งกันไม่จบ ปีถัดจากปีที่เราตาย ถ้ามรดกเรามีเงินได้อย่างเช่น เงินฝากในธนาคารยังมีดอกเบี้ย หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯยังได้เงินปันผล ฯลฯ เราก็ยังต้องเสียภาษีในฐานะกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
(4) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ถ้าพิจารณาในจุดนี้ หญิงคู่หมั้น และ พ่อแม่ฝ่ายหญิง ต้องเสียภาษีแน่นอน เพราะเป็นบุคคลธรรมดาตามข้อ (1)
ส่วนเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามกฎหมายเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หมายถึง เงินได้ของบุคคลใดๆ หรือหน่วยภาษีใดข้างต้นที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคมของปีนั้น (ปีภาษี) แบ่งได้เป็น 2 อย่างใหญ่ๆ คือ
1. เงินที่เป็นเงิน (รวมถึง เงินภาษีอากรที่ผู้อื่นออกแทนให้ และ เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด)
2. เงินที่ไม่ใช่เงิน ก็คือ
o ทรัพย์สินที่จำต้องได้ เช่น รถ บ้าน ฯลฯ
o ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ เช่น ประโยชน์ สิทธิต่างๆ ตัวอย่างเช่น บริษัทเช่าบ้านให้เราอยู่ฟรี
ถ้าพิจารณาในจุดนี้ หญิงคู่หมั้น และ พ่อแม่ฝ่ายหญิง ต้องเสียภาษีแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินอะไรก็ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
แต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ต้องตกใจนะ เพราะสินสอด ของหมั้น ถือเป็นเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ โดยธรรมเนียม หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งนี้ จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น
สินสอด เป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่พ่อ แม่ฝ่ายหญิง เป็นการให้เนื่องในขนบธรรมเนียมประเพณี ดังนั้น หากพ่อแม่ฝ่ายหญิงได้รับสินสอดไม่เกิน 10 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท พ่อแม่ฝ่ายหญิงผู้รับสินสอดต้องเสียภาษี 5%
ทำนองเดียวกันกรณีของหมั้น เป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ฝ่ายหญิง ของหมั้นเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายและให้แก่หญิง เป็นการให้เนื่องในขนบธรรมเนียมประเพณี และฝ่ายชายเองขณะที่ให้ยังไม่ถือเป็น “คู่สมรส” เพราะยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ดังนั้น หากฝ่ายหญิงได้รับของหมั้นไม่เกิน 10 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท ฝ่ายหญิงผู้รับของหมั้นต้องเสียภาษี 5%
และเนื่องจากเงินได้จากการรับ สรรพากรจัดเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 ดังนั้นสินสอด ของหมั้นส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทจึงสามารถยื่นในแบบ ภงด. 90 โดยสามารถเลือกเสียภาษีในอัตรา 5% หรือจะเลือกนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นก็ได้
ดังนั้น หากอยากจะช่วยพ่อแม่ฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงประหยัดภาษี ก็อย่าให้สินสอดแก่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเกิน 10 ล้าน และอย่าให้ของหมั้นแก่ฝ่ายหญิงเกิน 10 ล้าน แต่ถ้าถามใจฝ่ายหญิงคงบอก “ให้มาเยอะๆ เลย เสียภาษีก็ยอม ฮ่าๆ”
อีกนิดนะ เงินได้ที่ฝ่ายหญิงได้รับจากญาติ เพื่อนฝูงในงานหมั้นหรืองานแต่ง เช่น การให้ซอง ก็นับเป็นเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จึงต้องเสียภาษีการรับเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น หากฝ่ายหญิงได้รับของหมั้นมูลค่า 8 ล้านบาท ได้ซองจากเพื่อนๆ รวม 4 ล้านบาท เท่ากับฝ่ายหญิงมีเงินได้จากการรับที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี รวม 12 ล้านบาท ฝ่ายหญิงต้องเสียภาษีการรับ 5% ของส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท คือ 2 ล้านบาท (12 – 10 = 2 ล้านบาท) เป็นเงิน 100,000 บาท
ดังนั้น ถ้ารักเพื่อน ห่วงเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนเสียภาษีเยอะ ไปงานหมั้นงานแต่งครั้งต่อไป งั้นเราก็อย่าใส่ซองเยอะนะหรือเปล่านะ ฮ่าๆ