จะเรียกว่า Taylornomics หรือ Gold Rush หรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ศิลปิน นักแต่งเพลง และนักร้องชื่อดังชาวอเมริกันตอนนี้สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล

ดิเอราส์ทัวร์ (The Eras Tour) กำลังจะกลายเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำลายสถิติขึ้นเป็นทัวร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดในอเมริกา แต่เพียงแค่ตั๋วที่ขายหมดไม่ใช่สิ่งที่สร้างเงินมหาศาลเพียงอย่างเดียว การมาของสวิฟต์ยังเมืองต่างๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนการใช้จ่ายเงินของแฟนๆ และธุรกิจในท้องถิ่นได้มหาศาล

ช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาในโรงภาพยนตร์ก็เริ่มฉายภาพยนตร์คอนเสิร์ตบันทึกการแสดงดิเอราส์ทัวร์ (Taylor Swift: The Eras Tour) ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้เหล่าแฟนๆ ที่เรียกตัวเองว่า ‘สวิฟตี้’ (Swifty) รู้สึกใกล้ชิดกับขวัญใจของพวกเขามากขึ้นอีกด้วย

Taylornomics

งานนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตัวของสวิฟต์เอง จากการคาดการณ์ของ ปีเตอร์ โคฮาน (Peter Cohan) รองศาสตราจารย์ด้านการจัดการที่ Babson College บอกว่าสวิฟต์น่าจะได้เงินราวๆ 4,100 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 146,000 ล้านบาทจากทัวร์ครั้งนี้

โคฮานบอกว่าตัวเลขนี้ถูกคำนวณบนพื้นฐานที่ว่านักดนตรีส่วนใหญ่จะได้รับเงินสุทธิจากทัวร์คอนเสิร์ตประมาณ 85% และราคาตั๋วโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 456 เหรียญ รายได้ตรงนี้จะถือว่าเป็นรายได้ที่มากที่สุดจากทัวร์คอนเสิร์ตหนึ่งครั้งของศิลปินในเวลานี้

นับรายได้ตรงนี้ ตัวเลขจะสูงกว่า GDP ของกว่า 42 ประเทศ รวมไปถึงประเทศอย่างไลบีเรีย (Liberia) ที่มีประชากร 5.2 ล้านคนและ GDP ประเทศอยู่ที่ 4,000 ล้านเหรียญอีกด้วย

ไม่เพียงแต่สวิฟต์เท่านั้นที่นำเงินก้อนโตกลับบ้าน บริษัทซอฟต์แวร์ QuestionPro ได้ทำการสำรวจคนที่มาคอนเสิร์ตของสวิฟต์ประมาณ 592 คน เพื่อดูว่าค่าใช้จ่ายที่พวกเขาใช้สำหรับการมาคอนเสิร์ตครั้งนี้เฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่?

จากข้อมูลตรงนั้นพบว่าโชว์คอนเสิร์ตของสวิฟต์หนึ่งครั้ง สวิฟตี้จะใช้เงินราวๆ 93 ล้านเหรียญ (3,300 ล้านบาท) รวมตั๋วคอนเสิร์ต ของที่ระลึก โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน อาหาร เสื้อผ้า และเครื่องประดับทั้งหลาย

รวมทั้งหมดแล้วดิเอราส์ทัวร์ในอเมริกาสร้างการหมุนเวียนของเงินและเศรษฐกิจของประเทศมากถึง 5,700 ล้านเหรียญหรือราวๆ 204,000 ล้านบาท

เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว

คริส เลย์เดน (Chris Leyden) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเพื่อการเติบโตของเว็บไซต์ SeatGeek (เว็บไซต์ซื้อขายตั๋วคอนเสิร์ต) บอกว่า

“ดิเอราส์ทัวร์และสวิฟต์ได้กำหนดนิยามใหม่ของเศรษฐศาสตร์ความบันเทิงเลยทีเดียว”

เพราะไม่เพียงแค่ตั๋วคอนเสิร์ตดิเอราส์ทัวร์ที่ขายหมดเกลี้ยงแล้ว ตอนนี้คอนเสิร์ตอื่นๆ ก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย แฟนเพลงยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อตามไปฟังคอนเสิร์ตของศิลปินในดวงใจ เป็นช่วงจังหวะปลดล็อกหลังจากที่คนอยู่บ้านมานานตลอดการระบาดของโควิด-19 ด้วย

โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านของฝาก ทั่วประเทศล้วนได้รับผลประโยชน์จากเงินที่ไหลเวียนของแฟนเพลงตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

อย่างลอสแอนเจลิสที่สวิฟต์จัดคอนเสิร์ตทั้งหมด 6 โชว์ ก็สร้างรายได้ให้กับเมืองไปกว่า 320 ล้านเหรียญ

โรงแรมในเมืองต่างๆ ที่สวิฟต์ไปจัดทัวร์ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นรวมแล้วกว่า 208 ล้านเหรียญ เปรียบเทียบง่ายๆ เงินก้อนนี้เทียบเท่ากับรายได้ของโรงแรมทั้งหมดในนิวยอร์กและฟิลาเดลเฟียรวมกันทั้งอาทิตย์

ของที่ระลึก (ทั้งออฟไลน์และออนไลน์) ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ทุกเมืองที่ทัวร์ไปลง ต้องมีการเสริมพนักงาน จ้างคนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจในเมืองคึกคักและกลับมาบูมอีกครั้ง งานพาร์ตไทม์ของหลายคน กลายเป็นงานประจำหลังจากนั้นด้วย

แม้สวิฟต์จะเป็นศิลปินที่มีความสามารถและเก่งแค่ไหน ทัวร์ครั้งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีคนมากมายที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง สวิฟต์ทราบเรื่องนี้ดีและเธอก็มอบเงินโบนัสให้กับทุกๆ คนที่มีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่เสียง คนจัดเลี้ยงอาหาร แดนเซอร์ และพนักงานคนอื่นๆ

สวิฟตี้ที่มาคอนเสิร์ต ส่วนใหญ่หลังจบงานมักอยู่เที่ยวต่ออีกหลายวัน ทำกิจกรรมและท่องเที่ยวในพื้นที่ ช่วยธุรกิจท้องถิ่นได้เยอะมากๆ (ร้านค้าต่างๆ ก็ทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับทัวร์ออกมาขายอย่าง​โดนัท ไอศกรีม หรือเครื่องดื่มต่างๆ)

The Eras Tour Film & Beyond

สำหรับเหล่าแฟนคลับของเธอที่ไม่สามารถไปดูคอนเสิร์ตแบบสดๆ ได้ ภาพยนตร์คอนเสิร์ตของดิเอราส์ทัวร์กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว เป็นการถ่ายทำช่วงงานคอนเสิร์ตที่แคลิฟอร์เนีย เธอไปทำดีลกับ AMC บริษัทโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกว่าจะรายได้จากการขายตั๋วจะแบ่งให้โรงภาพยนตร์ 43% ส่วนเธอจะได้ 57% และราคาค่าตั๋วคือ 19.89 เหรียญ (ปีเกิดของสวิฟต์คือ 1989)

ตั๋วชมภาพยนตร์ขายได้มากกว่า 26 ล้านเหรียญก่อนวันฉายจริง ทำลายสถิติสูงสุดของ AMC ที่เคยทำไว้กับภาพยนตร์ “Spider-Man : No Way Home’s” ในปี 2021 ที่ 16.9 ล้านเหรียญ และทำเงินได้มากถึง 92.8 ล้านเหรียญในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัว แซงหน้าภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ทำไว้โดย Miley Cyrus : Best of Both Worlds Concert ปี 2008 ที่ทำได้ 31.1 ล้านเหรียญอย่างถล่มทลาย

ถือเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่สร้างรายได้มากที่สุดทั่วโลกกว่า 123 ล้านเหรียญในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัวด้วย และแน่นอนนอกจากค่าตั๋วเข้าชมภาพยนตร์แล้ว ยังมีพวกของที่ระลึกต่างๆ ถังป็อปคอร์น ฯลฯ ที่สามารถซื้อได้เช่นกัน

ถ้าใครติดตามงานของสวิฟต์จะทราบดีว่าเพิ่งเปิดตัวอัลบั้ม 1989 (Taylor’s Version) ไปเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมานี้อีก โดยเหตุผลของการอัดเพลงอัลบั้มเก่าที่ทำไว้กับค่ายเพลงเดิมขึ้นใหม่ก็เพื่อเป็นการถือครองสิทธิ์ผลงานให้เป็นของเธอโดยตรง โดยเธอบอกว่า

“ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้อัดเพลงอัลบั้มเก่าทั้งหมดขึ้นใหม่ เพราะฉันรู้สึกว่าศิลปินสมควรที่จะได้รับสิทธิ์ในการถือครองผลงานของตนเอง ฉันเป็นคนที่ตื่นตัวกับเรื่องนี้มาก”

การเคลื่อนไหวตรงนี้ของสวิฟต์กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการทำสัญญาของศิลปินและค่ายเพลง ให้มีความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น สร้างผลกระทบต่อวงการเพลงไม่น้อย

ผลกระทบเชิงบวกที่มีต่อเศรษฐกิจของดิเอราส์ทัวร์ทำให้ผู้นำประเทศจากหลายประเทศเอ่ยปากเชิญชวนให้เธอมาจัดงานคอนเสิร์ตที่ประเทศของตนบ้าง แต่แน่นอนว่าเธอคงไปทั้งหมดไม่ได้ (ใกล้สุดกับบ้านเราก็จะเป็นที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2024)

ช่วงปลายปี 2023 ดิเอราส์ทัวร์ของสวิฟต์จะเริ่มกลับมาแสดงใหม่อีกครั้ง จากอเมริกาใต้ ไปเอเชีย ออสเตรเลีย และยุโรป ซึ่งนอกจากคอนเสิร์ตและการแสดงที่เหล่าสวิฟตี้ตั้งตารอแล้ว ธุรกิจต่างๆ ในท้องถิ่นเองก็เฝ้ารออย่างมีความหวังว่า เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดย เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor’s Version) จะช่วยมากระตุ้นการหมุนเวียนของเม็ดเงินเหมือนอย่างที่ทำไว้ในอเมริกาด้วยเช่นเดียวกัน