อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ผู้นำธุรกิจที่สร้างนวัตกรรม มีคนรักมากมายและก็เป็นเป้าหมายของความเกลียดชังอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหน เมื่อเอ่ยถึง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ มักกลายเป็นข่าวที่หลายคนให้ความสนใจเสมอ

การกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหลังจาก 17 ปี ถือว่าเป็นเรื่องที่สังคมกำลังถูกจับตาดูไม่น้อยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแวดวงการเมืองและธุรกิจในบ้านเราต่อไปจากนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนสังเกตเห็นเมื่อวานในสื่อคือเรื่องของนาฬิกาที่เขาใส่ขณะอยู่บนเครื่องเป็นยี่ห้อ Patek Philippe ในรุ่น Grandmaster Chime Ref. 6300 ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือที่ถือว่ามีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนมากที่สุดในโลกเรือนหนึ่ง หน้าปัดสามารถกลับด้านหน้าหลังได้ (แปะลิงก์วิดีโอแนะนำตัวนาฬิกานี้ไว้ในคอมเมนต์ครับ มันเจ๋งมาก) ซึ่งราคาขายเริ่มต้นของมันก็อยู่ที่ราวๆ 100 ล้านบาท และ Re-Sale สูงกว่า 150 ล้านบาทเลย

ในหนังสือ “Thaksin Shinawatra : Theory and Thought” (ทักษิณ ชินวัตร หลักการและความคิด) ซึ่งเล่าถึงแนวคิดและชีวิตของอดีตนายกรัฐมนตรี 'ทักษิณ ชินวัตร' อธิบายการตกผลึกทางความคิดของเขาในการทำธุรกิจและเป็นผู้นำตลอด 73 ปีที่ผ่านมา

ช่วงหนึ่งของหนังสือคุณทักษิณได้กล่าวถึงเรื่องของ “Soul Searching” หรือการตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เราทำมีความหมายอะไร ชอบอะไร รักที่จะทำอะไรแล้วจะมีความสุข ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในชีวิตของเรา เขาเล่าต่อว่า “รู้ไหมว่าคนบางคน จนเกษียณอายุแล้วยังไม่รู้ตัวเองชอบอะไร เพราะว่าไม่พยายามถามตัวเอง อยู่กับรูทีนทั้งชีวิต ตื่นมาก็เป็นโรบอต ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ของลัทธิทุนนิยม ถ้าค้นหาตัวเองเจอเร็ว มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่เสียเวลากับชีวิตที่เหลือ”

โดยส่วนตัวคุณทักษิณเอง เขามีแพสชันกับเทคโนโลยีและการลงทุน ซึ่งต้นตอของมันก็มาจากรากฐานของคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นตัวอย่างตั้งแต่เด็ก กล้าที่จะลอง กล้าที่จะลงทุน ไม่กลัวการใช้เทคโนโลยี และถ้าพลาดก็เรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาใหม่ เมื่อได้ลอง ’soul searching’ ถามตัวเองลึกๆ เขาก็บอกว่า

“บางทีมีอะไรเครียดๆ ก็จะคิดลงไปในอินเนอร์ตัวเองว่ามันคืออะไร เราชอบอะไร ทำไมเราถึงทำตรงนี้ไม่ได้ ผมมารู้ทีหลังว่ามันอาจจะอยู่ในดีเอ็นเอนะ พ่อผมเป็นคนกล้าลงทุนทั้งที่ไม่มีตังค์ แกซื้อตู้เย็นเป็นเครื่องแรกของอำเภอสันกำแพง สมัยโน้นไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้น้ำมันก๊าดเติมตู้เย็น แม่ผมก็เป็นคนที่ต้องใช้เงินให้คุ้ม พอซื้อตู้เย็นมาก็เอาขนุนมาแช่แข็งทำหวานเย็นให้ผมไปขายในตลาด”

นั่นกลายเป็นแบบอย่างของความกล้าทดลอง การทำธุรกิจและลงทุนมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเขาก็ซึมซับตรงนั้นมาด้วย เขาเล่าต่อว่า

“แล้วแกก็ซื้อรถแทรกเตอร์ที่ใช้เดินไถคันแรกนะ คือแกเป็นคนกล้าที่จะใช้เทคโนโลยี ใช้ของสมัยใหม่ แล้วแกก็มากรุงเทพฯ ซื้อสเกตสี่ล้อให้ผมเล่นตั้งแต่เด็ก ผมหกล้มก็ไม่สนใจ แกถือว่าต้องเรียนรู้ มันก็ทำให้ผมกลายมาเป็นคนชอบเทคโนโลยี”

นอกจากเทคโนโลยีแล้ว เราทราบดีว่าคุณทักษิณก็ชื่นชอบในเรื่องของการลงทุน ธุรกิจหลายอย่างที่เขาไปมีส่วนร่วมลงทุนสามารถสร้างรายได้มากมาย ถ้าดูข้อมูลจากเว็บไซต์จะเห็นว่าเขาอยู่ในอันดับ 1,472 ของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และอันดับ 13 ของประเทศไทย มีมูลค่าทางทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท

ไม่เพียงแต่ธุรกิจเท่านั้นที่เขาสนใจลงทุน แม้แต่นาฬิกา Patek Philippe เรือนที่ใส่สำหรับเขาก็ไม่ได้ใส่เพียงเพราะมันกลไกซับซ้อนหรือเป็นสินค้าหรูราคาแพงเท่านั้น

ในหนังสือถามคุณทักษิณต่อว่า “ดูเหมือนเทคโนโลยีและการลงทุนคือแพสชันของคุณ”

คุณทักษิณตอบว่า “อย่างผมชอบเล่น Patek Philippe เพราะว่าเป็นนาฬิกาที่ใส่เดินออกจากร้านแล้วราคาขึ้น ยี่ห้ออื่นเดินออกจากร้านมาแล้วราคาลง”

ความสวยงามหรือฟังก์ชันของนาฬิกาอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ใครสักคนซื้อนาฬิกา แต่สำหรับคุณทักษิณแล้วเขาไม่ได้มอง Patek Philippe เป็นเพียงแค่นาฬิกา เพราะด้วยความร่ำรวยขนาดนี้จะซื้อยี่ห้อไหนใส่ก็ได้ แต่เขาดูจะคิดต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่านาฬิกายี่ห้อนี้จะราคาขึ้นต่อไปในอนาคต แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เหมือนเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งซะมากกว่า

เมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าของนาฬิกาจะเพิ่มขึ้น ถือเป็นของสะสมที่หายาก ยิ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ด ทำน้อย หรือทำขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองในวันพิเศษต่างๆ ยิ่งมูลค่าสูง กลายเป็นการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) หรือ การลงทุนในสิ่งที่หลงใหล (Passion Investment) ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย

ช่วงหลังเราก็จะเห็นว่าคนเริ่มหันมาสนใจสะสมพวกนาฬิกาแบรนด์หรูมากขึ้น และ ‘Patek Philippe’ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งแบรนด์นาฬิกาที่นักสะสมมักมองหาอยู่เสมอ คุณภาพของวัสดุที่ใช้ผลิต งานฝีมือที่ซับซ้อน สามารถส่งต่อเป็นมรดกได้ และแน่นอนมีความต้องการในตลาด เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่ตอนสวมใส่จะสวยงามเท่านั้น ยิ่งคนตามหากันเยอะ ยิ่งกลายเป็นทรัพย์สินล้ำค่าไปด้วย