ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 3.9 ล้านล้านบาท วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ถือว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกได้ไม่ยาก แถมน่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนมากที่สุดคนหนึ่งในโลกแห่งศตวรรรษที่ 20 เลยก็ว่าได้

ด้วยวัย 92 ปี เขายังคงสุขภาพแข็งแรง ตื่นมาทำงานอยู่ทุกวัน อ่านหนังสือพิมพ์เพื่อติดตามข่าวสารวันละหลายฉบับบ ล่าสุดในงานประชุมผู้ถือหุ้นก็ยังคงพูดจาฉะฉาน พร้อมอารมณ์ขัน ยิ้ม หัวเราะ ตอบคำถามได้อย่างไม่มีติดขัด เขาเป็นนักลงทุนแนว VI (Value Investor) ที่ถูกเรียกว่า “Oracle of Omaha” หรือ “ผู้วิเศษแห่งโอมาฮา” (เมืองเกิดของเขา) เพราะทุกครั้งที่เขาเลือกหุ้นตัวไหนก็ตาม เหมือนเขามีกระจกวิเศษที่มองไปในอนาคตรู้ได้เลยว่าตัวนั้นจะประสบความสำเร็จ

หลาย ๆ อย่างในชีวิตของเขาถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่า ตั้งแต่การใช้ชีวิตแบบสมถะ ถ่อมตน และชอบเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าเขาจะร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม ก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมที่ซื้อตั้งแต่ปี 1958 หรือประมาณ 65 ปีก่อน ยังขับรถรุ่นเก่าที่ไม่ได้มีอะไรหรูหราอย่าง Cadillac XTS ปี 2014 อยู่เลย นอกจากนั้นแล้วยังบอกว่าเงิน 99% ทั้งหมดของเขาจะถูกบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเมื่อเขาเสียชีวิตแล้ว

นิสัยที่รักความเรียบง่ายและถ่อมตนนี้เองที่ทำให้หลายคนชื่นชมในตัวของบัฟเฟตต์ ซึ่ง ‘ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น และครั้งหนึ่งทิมก็เคยมีโอกาสได้ไปนั่งทานมื้อค่ำกับบัฟเฟตต์ด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่ทิมเรียนปริญญาโทสาขาการบริหารธุรกิจที่ MIT เขาเล่าถึงช่วงเวลาอันแสนพิเศษว่าทุกปีบัฟเฟตต์จะให้เด็กนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเขียนจดหมายไปหา เล่าเหตุผลว่าทำไมถึงอยากไปนั่งทานข้าวกับบัฟเฟตต์

แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็คงอยากจะมีโอกาสนี้สักครั้งในชีวิต ทิมเองก็เช่นกัน เขาเลยเขียนเล่าว่าตัวเองชื่นชอบวิธีการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของบัฟเฟตต์มากขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องการมีความสุขในการลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน โชคดีที่ทิมกลายเป็น 1 ใน 10 ของนักศึกษาที่ถูกเลือกให้ไปนั่งทานข้าวกับบัฟเฟตต์ในวันนั้น

ร้านอาหารที่เหล่านักศึกษาเอ็มไอทีไปทานอาหารร่วมกับบัฟเฟตต์ในวันนั้นก็เป็นร้านสเต๊กเล็ก ๆ ธรรมดาในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา บ้านเกิดของบัฟเฟตต์ ไม่ได้เป็นร้านหรูหรือราคาแพงอะไร เด็กนักศึกษาสิบคนนั่งอยู่ที่โต๊ะและบังเอิญวันนั้นเก้าอี้ที่ตรงข้ามกับทิมว่างอยู่พอดี บัฟเฟตต์ก็เลยมานั่งตรงนั้น

บัฟเฟตต์ก็เริ่มพูดคุยกับนักศึกษาแล้วพอถึงตาของทิมเขาก็ถามว่า

“จบเอ็มไอทีแล้วจะไปทำอะไร?”

ทิมรู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสได้คุยกับบัฟเฟตต์ ก็เริ่มอธิบายว่าจะกลับไปทำธุรกิจที่บ้าน นำรำข้าวมาผลิตเป็นน้ำมันรำข้าว เล่าถึงกระบวนการว่าจะทำยังไงเพื่อเพิ่มมูลค่าในการขายให้มากขึ้น

บัฟเฟตต์นอกจากจะเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขายังเป็นผู้ฟังที่ดีและฟังทิมเล่าจนจบ ก่อนจะบอกว่า

“ดีมาก เพราะหลังจากนี้จะเป็นโอกาสของฝั่งพวกคุณ ฝั่งตะวันออก ไม่ใช่ฝั่งตะวันตก”

ไม่ใช่แค่เพราะฝั่ง อเมริกา ยุโรป ที่จะแย่ หรือจีนและอินเดียเศรษฐกิจจะดีขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะราคาน้ำมันและอาหารที่จะขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นโอกาสจึงอยู่ในบ้านเรา ฝั่งตะวันออก

บัฟเฟตต์บอกกับทิมว่า “ต่อจากนี้ใต้ผืนดินของพวกคุณจะเป็นทองคำ จงบริหารมันให้ดี”

มันเป็นทั้งข้อคิดและกำลังใจที่มีค่ามหาศาลกับทิมและตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นกำลังเดินมาถูกทางแล้วนั่นเอง