เราเคยได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ ตัดสินใจทำอะไรบ้าบิ่น

นี่ก็อาจจะเป็นเรื่องความรักที่บ้าบิ่นแบบนั้น

เค คอชิแกน (K Kawshigan) หนุ่มสิงคโปร์ ประธานบริษัทโดรน D1 Racing ล่าสุดเพิ่งยื่นฟ้องเพื่อนสาวเพราะไม่ยอมรับรักเป็นแฟนด้วย เป็นเงินเกือบ 80 ล้านบาท เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้สร้างแผลทางใจและความเสียหายต่อชื่อเสียงของเขาด้วย

โดยคอชิแกนบอกว่าเงินที่ได้จากการฟ้องร้องครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้เพื่อชดเชยโอกาสในการสร้างรายได้และเงินลงทุน นอกจากนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในการบำบัดและฟื้นฟูสภาพจิตใจเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ด้วย

ตามเอกสารที่ถูกยื่นให้กับศาล คอชิแกนกล่าวหาว่าฝ่ายหญิงมีการใช้คำพูดหมิ่นประมาทและการกระทำที่ประมาทเลินเล่อ แถมยังมีฟ้องอีกคดีกล่าวหาว่าฝ่ายหญิงละเมิดข้อตกลงในการพัฒนาความสัมพันธ์ให้มากขึ้น แต่การฟ้องในคดีที่สองถูกปัดตกไปแล้วเพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน

เรื่องนี้กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากบนโลกออนไลน์ มีคนบอกว่าเขาใช้วิธีนี้เพราะ ‘มีแรงจูงใจบางอย่างซ่อนเร้นเพื่อจะก่อกวนและกดขี่จำเลย’

ซึ่งถ้าไปดูประวัติของทั้งคู่ รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2016 เป็นเพื่อนกันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งฝ่ายชายเริ่มรู้สึกอยากก้าวข้ามผ่านเส้นความเป็นเพื่อน แต่ฝ่ายหญิงบอก ‘ยังไม่ดีกว่า’ ความสัมพันธ์เลยชะงัก ฝ่ายหญิงมองเป็น ‘เพื่อน’ ฝ่ายชายบอก ‘มากกว่าเพื่อน’

สุดท้ายจากเฟรนด์ ไม่ได้เป็นแฟน งั้นข้ามเป็นคู่กรณีเลยละกัน

ฝ่ายหญิงบอกว่านี่เป็นการสร้างกรอบความสัมพันธ์ให้ชัดเจน และคอชิแกนควรจะรู้จัก ‘พึ่งพาตนเอง’ ในด้านความรู้สึกด้วย

คือก่อนหน้านี้คอชิแกนเคยขู่ว่าจะฟ้องมารอบหนึ่งแล้ว ซึ่งครั้งนั้นฝ่ายหญิงก็ยินยอมที่จะไปเข้ารับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญกับเขาด้วยเป็นเวลากว่า 18 เดือน เพราะเขารู้สึกจิตใจนั้นย่ำแย่มาก เพราะเธอเห็นเป็นแค่เพื่อน

ตามเอกสารบอกว่า

“ในขณะที่จำเลยหวังว่าการให้เข้ารับคำปรึกษาจะช่วยให้ผู้ฟ้องร้องยอมรับการตัดสินใจของเธอที่จะไม่ดำเนินความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเขา แต่ไม่ใช่เลย ฝ่ายจำเลยถูกขอให้มาพบบ่อยขึ้นเพื่อจะสานสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งมากขึ้น สุดท้ายจำเลยตัดสินใจในเดือนพฤษภาคม 2022 ที่จะยุติการติดต่อทั้งหมดกับผู้ฟ้องร้อง”

ต่อมาก็มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น ฝ่ายชายฟ้องร้องค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและความบอบช้ำทางจิตใจเป็นเงินเกือบ 1.9 ล้านปอนด์ หรือประมาณเกือบ 80 ล้านบาท ส่วนฝ่ายหญิงเองก็เรียกร้องค่าเสียหายจากเขากลับเช่นกันเพราะต้องติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้เคยมีมาเฝ้าหน้าประตูบ้านและให้กลับก็ไม่กลับ แถมยังมีไปโผล่ที่ทำงานอีกด้วย

Aware กลุ่มผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ารู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ผู้หญิงไม่ได้ติดหนี้เวลาหรือความเอาใจใส่ของผู้ชาย อย่าไปพูดถึงมิตรภาพ ความรัก เรื่องเพศ หรือรองรับอารมณ์เลยด้วยซ้ำ”

ตอนนี้ยังไม่มีบทสรุปสำหรับเรื่องนี้ว่าจะออกมายังไง แต่ที่แน่ ๆ ดูเหมือนว่านี่คือการสิ้นสุดทางเพื่อน ที่ไม่ได้เป็นแฟน แต่กลายเป็นศัตรูกันแทนเรียบร้อยแล้ว