สับปะรดเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี (พูดถึงปุ๊บก็อยากไปซื้อมาจิ้มพริกเกลือทันที) สามารถหาซื้อได้ตามตลาดหรือรถเข็นขายของข้างทางทั่วไป ลูกหนึ่งก็ไม่กี่สิบบาท

แต่ครั้งหนึ่งเจ้าผลไม้สีเหลืองทองที่เหมือนมีมงกุฎบนหัวนั้นเคยเป็นของหายากและราคาแพงมากในช่วงยุคศตวรรษที่ 18 คนที่จะได้สัมผัส ครอบครอง หรือลิ้มลองนั้นต้องเป็นกลุ่มคนที่มั่งคั่งสุด ๆ ในสังคมเท่านั้น มันถูกใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคม กลายเป็นของประดับตกแต่ง และถึงขั้นมีการเช่ายืมสับปะรดเพื่อไปใช้ในงานแฟนซีให้ตัวเองดูดีกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย

มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?

อาหารและเครื่องปรุงอาหารที่แปลกใหม่และแตกต่างจากที่ใช้ในชีวิตประจำวันนั้นถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่เสมอ เพราะอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก คนที่ร่ำรวยในสังคมนั้นจะมองว่าอาหารเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สัญลักษณ์ถึงการแสดงความเคารพกับคนที่มาเยี่ยม และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องแสดงฐานะของผู้เป็นเจ้าของบ้านด้วย

อาหารที่แปลกใหม่ ผลไม้ที่ไม่คุ้นตา หรืออาหารที่มาจากแหล่งวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยเมื่อถูกนำมาเสิร์ฟในงานเลี้ยงหรือการเฉลิมฉลองกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความมั่งมีสำหรับคนที่ร่ำรวยในสังคม ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถย้อนกลับไปได้ไกลตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของชาวกรีกและโรมัน และมันก็ถูกส่งทอดมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 18 สับปะรดก็ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง

ใช่ครับ เจ้าสับปะรดที่เราจิ้มพริกเกลือและถกเถียงกันอย่างหนักว่าควรใส่ในพิซซ่ารึเปล่า​ (มันก็อร่อยอยู่นะ) นี่แหละ จริงอยู่ว่าตอนนี้มันหาง่ายและราคาถูกมาก แต่ครั้งหนึ่งมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

ผลไม้เชิงสัญลักษณ์

ที่จริงแล้วถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของสับปะรด (ต้องจริงจังขนาดนี้) มันถูกใช้เพื่อสื่อความหมายหลายอย่างมากในสังคม ในวัฒนธรรมหลายแห่งสับปะรดถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง มอบให้กับคนสำคัญที่มาเยี่ยม บางวัฒนธรรมใช้มันเป็นสัญลักษณ์วางไว้ที่ประตูทางเข้าบ้านบ่งบอกว่าแขกสามารถเข้ามาได้เลย ในวัฒนธรรมอื่น ๆ ก็มองว่าสับปะรดเป็นสัญลักษณ์แห่งการตั้งครรภ์และความอุดมสมบูรณ์

แต่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ประเทศอังกฤษ สับปะรดจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและร่ำรวย เพราะมันเป็นผลไม้ที่หายาก ต้องนำเข้าจากประเทศแถบอเมริกาใต้อันห่างไกลอย่างอุรุกวัย ปารากวัย และ บราซิล

สับปะรดถูกนำเข้าสู่ยุโรปตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 โดยนักเดินทางชาวสเปนและจากนั้นก็ค่อย ๆ ขยายเข้ามาสู่อังกฤษในภายหลังในศตวรรษที่ 18 โดยเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าการเดินเรือครั้งนั้นประสบความสำเร็จ เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าพวกเขากลับมาพร้อมกับความร่ำรวยและสมบูรณ์ กลายเป็นผลไม้ตบแต่งวางบนโต๊ะอาหารค่ำสุดหรูของกลุ่มสังคมชั้นสูง เมื่อมีคนเห็นสับปะรดบนโต๊ะบ้านใครแสดงว่าต้องเป็นนักเดินทางที่สามารถข้ามน้ำข้ามทะเล มีความรู้ ความสามารถเหนือคนทั่วไปและต้องเป็นคนชั้นสูงในสังคม หรือเป็นพ่อค้าที่มีเงินมากมายเพียงพอที่จะซื้อผลไม้รสชาติแสนอร่อยแปลกใหม่นี้มาทานได้

ตั้งแต่ปาร์ตี้หรูหราในสวนไปจนถึงงานดินเนอร์แฟนซี สับปะรดกลายเป็นของตบแต่งและอาหารที่มีแต่คนโหยหา ถ้าเห็นสับปะรดสด ๆ หั่นวางบนจาน ผลไม้ที่เดินทางมาครึ่งโลกเพื่อจะมาอยู่ตรงนี้ มันแสดงให้เห็นว่าเจ้าของงานหรือเจ้าบ้านนั้นมีทั้งอำนาจและเงินทองอย่างมหาศาล

ในช่วงศตวรรษที่ 18 ของประเทศอังกฤษ ราคาสับปะรดลูกหนึ่ง เทียบเป็นเงินปัจจุบันสามารถพุ่งสูงได้ถึง 8,000 ปอนด์ หรือราว ๆ 320,000 บาทเลยทีเดียว คนที่ร่ำรวยและครอบครัวสูงศักดิ์เท่านั้นถึงจะเอื้อมถึงได้ ทุกส่วนของสับปะรดจะถูกใช้อย่างพิถีพิถัน เนื้อจะถูกทาน ส่วนเปลือกและใบต่าง ๆ จะกลายเป็นของตบแต่งภายในบ้าน บางลูกถูกซื้อมาวางไว้เพื่อเป็นของประดับจนเหี่ยวเน่าไปเลยก็มี

ทำไมของที่แปลกใหม่ถึงมีเสน่ห์?

มีความพยายามที่จะปลูกสับปะรดเช่นเดียวกันในยุโรป แต่ไปไม่รอดเพราะสภาพอากาศ แต่บางส่วนก็ทำได้โดยการปลูกใน hothouse หรือพื้นที่ปิดที่สร้างสภาพแวดล้อมให้คล้ายกับสภาพอากาศในอเมริกาใต้ แต่พื้นที่ปลูกแบบนี้ต้องใช้การคนดูแลตลอดเวลา ใช้เวลาปลูกกว่าจะออกผลสามถึงสี่ปี ใช้พลังงานจากถ่านหินเพื่อให้ความร้อน แต่ด้วยความต้องการที่มากมายในตลาด จึงไม่สามารถปลูกได้เพียงพออยู่ดี

มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยและมั่งมีถึงขั้นว่าครอบครัวที่ฐานะปานกลางจะไปเช่าสับปะรดมาตบแต่งงานเลี้ยงแฟนซีที่บ้านเพราะไม่สามารถหาซื้อสับปะรดได้ มีการใช้สับปะรดในสำนวนและวลีพูดในชีวิตประจำวันด้วย ยกตัวอย่างเช่นถ้าของบางอย่างยอดเยี่ยมและมีคุณภาพสูงจะถูกเรียกว่ามันคือ “สับปะรดที่มีรสชาติดีที่สุด” (“a pineapple of the finest flavor”) และช่วงเวลานั้นก็มีการพูดถึงสับปะรดมากมายในงานเขียนต่าง ๆ ของชาวอังกฤษด้วย

ในช่วงเวลานั้นการเดินทางไปยังประเทศหรือเมืองต่าง ๆ โพ้นทะเลนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล จึงเป็นเรื่องที่คนร่ำรวยและคนที่มีเงินสนับสนุนเท่านั้นที่จะเดินทางและกลับมาพร้อมกับทรัพย์สมบัติและอาหารจากต่างถิ่น สับปะรดในตอนนั้นก็เหมือนกับสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณเป็นนักผจญภัย กล้าหาญ และร่ำรวย ซึ่งสับปะรดก็เป็นผลไม้ที่แตกต่างจากที่มีอยู่ในท้องถิ่นจึงทำให้กลายเป็นของล้ำค่าที่หลายคนต้องการ

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สับปะรดได้รับความนิยมก็เป็นเพราะรูปร่างภายนอกของมันด้วย สีเหลืองทองพร้อมกับใบสีเขียวเหมือนมงกุฎที่อยู่ด้านบนทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของพระราชา สื่อถึงราชวงศ์และความหรูหรา จนกลายเป็นชื่อเรียกว่า “King Pine” และถูกนำไปประดับในห้องอาหารในราชสำนักสำหรับกษัตริย์และขุนนางชั้นสูงทั้งหลาย รสชาติยิ่งทำให้ชวนหลงใหล หวาน เปรี้ยว มีความกุหลาบและคล้ายกับไวน์ในเวลาเดียวกัน ชาลส์ แลมบ์ (Charles Lamb) นักกวีชาวอังกฤษในยุคนั้นถึงขั้นบอกว่ามัน

“มันเป็นความสุขสมที่เปรียบดั่งความเจ็บปวด ความเร่าร้อนและรุนแรงของเธอ ดั่งจุมพิตของคู่รักที่กัดกิน”

(ภาษาทางบ้านเราถ้าเร่าร้อนขนาดนี้แสดงคงโดนสับปะรดกัดลิ้นแล้วอย่างแน่นอน)

แต่ก็เหมือนสินค้าที่เป็นกระแสทุกอย่าง (ดูอย่างกล้วยด่างก็ได้) หลังจากสับปะรดถือครองตำแหน่งของราชาแห่งผลไม้ สัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยอยู่นาน เมื่อมีการเดินทางได้เยอะและบ่อยขึ้น ปริมาณสับปะรดที่นำเข้ามามากขึ้นก็เริ่มดันราคาของมันลง จนในที่สุดคนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงสับปะรดได้ด้วยราคาที่ไม่แพง และส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่า “มันก็ไม่ได้เห็นอร่อยอะไรขนาดนั้น” ไม่เข้าใจว่ามันเคยลูกละ 3 แสนได้ยังไง (ยกตัวอย่างกล้วยด่างอีกครั้ง) สุดท้ายความนิยมของสับปะรดก็ลดลงไปเรื่อย ๆ

สับปะรดในตอนนี้เป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วไปแล้ว เป็นผลไม้โปรดของใครหลายคน เหมาะสำหรับวันที่อากาศร้อน ๆ ต้องการความสดชื่น กัดไปหยีตาไปเพราะความเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วที่ไม่ได้ราคาสูงเหมือนครั้งหนึ่งที่มันเป็น เพราะไม่งั้นเราคงไม่ได้เห็นมันบนพิซซ่า (มันอร่อยจริง ๆ นะ) หรือจะซื้อสับปะรดลูกละ 3 แสนมาจิ้มพริกเกลือก็คงทำไม่ได้ง่าย ๆ

======

อ้างอิง

Historic Mysteries

iup.edu

ehow

The New York Times

Mental Floss

Doaks