เพื่อนๆ เคยเจอปัญหา ‘อยากลงทุน..แต่ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี’ กันบ้างรึเปล่าครับ? aomMONEY ก็เคยพบเจอปัญหาเหล่านั้น เนื่องจากในปัจจุบันมีการลงทุนให้เลือกหลากหลาย แถมเศรษฐกิจผันผวนตลอดเวลา ทำให้นักลงทุนต้องคอยตามอัพเดทข่าวสารและวิเคราะห์สถานการณ์สม่ำเสมอ

อย่างสถานการณ์การลงทุนในตอนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็จริง แต่แนวโน้มของเงินเฟ้อก็เริ่มมาแล้วนะครับ ทำให้นักลงทุนต้องจับตามองกันให้ดีๆ ซึ่งตอนนี้ หลายประเทศก็เริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดมาได้บ้างแล้ว ทำให้บางธุรกิจมีโอกาสเติบโตในการทำกำไรมากขึ้นด้วย

และสำหรับนักลงทุนที่อยากเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับตัวเอง ด้วยการลงทุนหลายๆ ประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็ไม่ควรพลาด กับ StashAway แพลตฟอร์มบริหารการลงทุนที่ได้รับรางวัล Technology      Pioneer จาก World Economic Forum และ รางวัล Linkedin Top 10 นั่นเองครับ

ซึ่ง StashAway ได้ให้บริการในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตอนนี้หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล จาก ก.ล.ต. ก็ได้มาเปิดให้บริการในประเทศไทยแล้วครับ! จะน่าสนใจยังไง..เราไปดูกันเลย

StashAway หรือ บลจ.สแทชอเวย์ ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นตั้งใจ อยากช่วยให้นักลงทุนไปถึงเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้ เลยต้องการเพิ่มทางเลือกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการการลงทุนที่มีคุณภาพได้นั่นเอง โดย aomMONEY ขออธิบายแบบง่ายๆ ดังนี้ครับ

1. StashAway เป็นแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนทั่วโลก ในรูปแบบกองทุนส่วนบุคคล

2. ลงทุนใน ETF จากผู้จัดการกองทุนชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น BlackRock, Vanguard หรือ State Street ซึ่งกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก

3. มีกลยุทธ์การลงทุนระดับ World Class เทียบเท่าสถาบันการเงินระดับโลก

4. ใช้เทคโนโลยีบริหารพอร์ต ตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจและตามความเสี่ยงที่เรากำหนด เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน

5. ต้องการรักษาค่าธรรมเนียมให้ต่ำมากๆ เพื่อที่จะได้เพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุน

จุดเด่นและความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครของ StashAway

1. ต้องการให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

การลงทุนในต่างประเทศมีความซับซ้อนอยู่ค่อนข้างเยอะครับ ในตอนแรกที่เริ่มลงทุนหลายคนยังไม่รู้ว่าควรลงทุนอะไรดี หรือถ้าลงทุนไปได้สักระยะควรปรับพอร์ตยังไงให้เหมาะสม ทาง StashAway เลยต้องการทำให้การลงทุนในต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่เราบอก เป้าหมายการลงทุนคืออะไร? ระดับความเสี่ยงที่รับได้คือเท่าไหร่? ที่เหลือทาง StashAway จะจัดการให้หมดเลยครับ

โดยปัจจุบันทาง StashAway มีทั้งหมด 2 แผนการลงทุนด้วยกัน คือ

General Investing ลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยในระยะยาว ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่กำหนดได้เอง 12 ระดับด้วยกัน จากนั้น StashAway จะจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) ที่เหมาะสมที่สุดกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามความเสี่ยงที่เราเลือกครับ

หรือ Goal-Based Investing ลงทุนเพื่อเป้าหมายในระยะเวลาที่กำหนด โดยมีเป้าหมายให้เลือกทั้งหมด 8 แบบด้วยกัน แล้วที่เหลือทาง StashAway จะคอยเป็นที่ปรึกษาทางการลงทุนให้ครับ โดยจะช่วยคำนวณเงินเป้าหมายให้นักลงทุน เช่น ถ้าเราอยากไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ก็จะช่วยคำนวณให้ว่า เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ แนะนำระดับความเสี่ยง คอยจัดพอร์ต และวางแผนการลงทุนในแต่ละเดือนให้เรา และเมื่อใกล้ถึงเป้าหมายระบบจะคอยลดความเสี่ยงให้ เหมือนมีผู้จัดการกองทุนส่วนตัวคอยดูแลอยู่ข้างๆ เลยครับ

2. ช่วยนักลงทุนกำหนดความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ

เพราะเรามีสิ่งที่เรียกว่า StashAway Risk Index (SRI) เป็นค่าความเสี่ยงที่เหมือนกับค่า Value at Risk (VaR) หรือมูลค่าความเสียหายที่เรามีโอกาสเจอจากการลงทุน โดยใช้ระดับความเชื่อมั่น (Confidence Level) 99% หมายความว่า พอร์ตมีโอกาสเพียง 1% เท่านั้นที่จะขาดทุนเกินค่า SRI ที่นักลงทุนเลือกใน 1 ปี

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือก SRI ที่ 10% นั่นแปลว่าใน 1 ปี เราจะมีโอกาสเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่จะขาดทุนเกิน 10% หรือนักลงทุนสามารถมั่นใจได้ถึง 99% ว่าพอร์ตจะไม่ลงต่ำกว่า 90% ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนอย่างแท้จริง และกำหนดความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำถึง 12 ระดับด้วย

3. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตด้วยเทคโนโลยี

เนื่องจาก StashAway เป็นบริษัทเทคโนโลยี เลยนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุนค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวครับ เช่น

การทำ Re-Optimisation เพราะเชื่อว่าเวลาที่เศรษฐกิจเปลี่ยน เราก็ควรปรับพอร์ตให้เหมาะสม ดังนั้น การทำ Re-Optimisation จะเป็นการจัดพอร์ตนักลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลานั้นๆ และการทำ Rebalancing เพราะราคาหุ้นจะขึ้น-ลงตลอดเวลา ทำให้พอร์ตขาดบาลานซ์ได้ เราเลยต้องปรับพอร์ตให้ตรงตามที่กำหนดไว้ในตอนแรกอย่างสม่ำเสมอ

โดยทั้ง 2 กลไกนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนและรักษาระดับความเสี่ยงให้ตรงกับค่า SRI ที่กำหนดไว้ครับ และที่สำคัญไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย ถือว่าคุ้มค่าสุดๆ

4. ดูแลเงินลงทุนโดยผู้รับฝากสินทรัพย์ชั้นนำ

StashAway จะเป็นคนคอยบริหารเงินเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นคนเก็บเงินไว้ เพราะฉะนั้น StashAway เลยเลือกผู้รับฝากสินทรัพย์ชั้นนำนั่นก็คือ ธนาคารกสิกรไทย แล้วหลักทรัพย์ที่ซื้อขายก็จะถูกจัดเก็บอยู่กับ Citibank ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้รับฝากทรัพย์สินที่ถูกต้องกับ Monetary Authority of Singapore (MAS) หรือองค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์

5. ไม่มีขั้นต่ำ ไม่กำหนดระยะเวลาลงทุน

เพราะเชื่อว่าการลงทุนที่ดี ‘ไม่ควรมีข้อจำกัด’ เลยตั้งใจอยากให้ทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม จึงมีการนำเทคโนโลยี Fractional Shares เข้ามาใช้ โดยเทคโนโลยีจะหาร ETF ออกมา 10,000 หน่วย หรือ 4 จุดทศนิยม เพราะบางที ETF 1 หน่วย อาจจะมีราคาสูงเกินกว่ากำลังซื้อของนักลงทุน การที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็จะทำให้เราลงทุนตามแผนได้แม่นยำมากขึ้นด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ก็ได้ครับ

6. ค่าธรรมเนียมต่ำ โปร่งใสทุกขั้นตอน

ในการลงทุน ค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ เพราะจะหักจากผลตอบแทนโดยตรง แล้วการที่ค่าธรรมเนียมสูงก็ไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนจะสูงในระยะยาวเหมือนกัน

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราฝากเงินลงทุน 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 30 ปี ผลตอบแทนอยู่ที่ 9% ซึ่งกองทุนแรกคิดค่าธรรมเนียม 1% และกองทุนสองคิดค่าธรรมเนียม 2% เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี จะได้ผลตอบแทนจากกองทุนแรก 1 ล้านบาท ส่วนกองทุนที่สองจะได้เงินเพียง 760,000 บาท แม้ค่าธรรมเนียมจะต่างกันเพียง 1% แต่สร้างความแตกต่างของผลตอบแทนมากถึง 33% เลยทีเดียวครับ

StashAway เลยตั้งใจที่จะลดค่าธรรมเนียมให้ต่ำและโปรงใสที่สุด โดยคิดค่าธรรมเนียมที่ 0.2% - 0.8% ตามมูลค่าเงินที่ลงทุน และไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝงด้วยครับ

StashAway มีกลยุทธ์ในการลงทุนยังไง?

ปกติการบริหารการลงทุนส่วนใหญ่ มักจะใช้ทฤษฎี Modern Portfolio ของ Harry Markowitz ซึ่งช่วงหลังมีงานวิจัยออกมาว่า ทฤษฎีนี้สามารถพัฒนาไปได้อีก ทำให้ StashAway เอากลยุทธ์มาพัฒนาเรื่องปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจ จนเกิดเป็นทฤษฎีที่เรียกว่า ERAA™ หรือ Economic Regime-Based Asset Allocation นั่นเองครับ

ซึ่ง ERAA™ ถูกพัฒนาจากทีมงานที่มีประสบการณ์บริหารจัดการการลงทุน ให้สถาบันการเงินระดับโลกกว่า 50 ปี และยังได้ทำ Stress Test หรือการจำลองสถานการณ์ในการรับมือกับวิกฤต มากกว่า 30,000 ชั่วโมง และในชีวิตของทุกคน คงต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจอีกมากมาย มันจะดีกว่าไหม? ถ้าเราสามารถปรับให้เหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงได้ โดย ERAA™ จะมีทั้งหมด 3 หลักการครับ

หลักการที่ 1

จะคอยจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ อย่างช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ERAA™ ก็ตรวจจับได้ว่ามีสัญญาณเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง เลยมีการปรับพอร์ตให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน อสังหาฯ เป็นต้น

หลักการที่ 2

กลไกบริหารความเสี่ยง คือ ERAA™ จะคอยใช้ Technical Analysis เพื่อจับว่าเมื่อไหร่ที่กำลังจะเกิดภาวะวิกฤต

หลักการที่ 3

การประเมินระหว่างทางราคาและมูลค่า ถ้าเกิดว่าสินทรัพย์ Overvalue หรือราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ERAA™ จะค่อยๆ ลดน้ำหนักเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดฟองสบู่ แต่ถ้าสินทรัพย์ Undervalue หรือราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นก็จะค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักเข้าไปครับ

และถ้าเกิดว่า ERAA™ จับการเปลี่ยนแปลงของ 3 ส่วนนี้ได้ก็จะมีการปรับพอร์ตเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และรักษาระดับความเสี่ยงให้ตรงตามค่า SRI ที่นักลงทุนเลือกไว้ ดังนั้น นักลงทุนไม่ต้องมานั่งกังวลว่า จะเข้าตอนไหนหรือขายเมื่อไหร่ดี อีกต่อไปแล้วครับ

StashAway เหมาะกับใคร?

1. เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ทั่วโลก

2. เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาบริหารพอร์ตด้วยตัวเอง เพราะทาง StashAway จะคอยบริหารให้ด้วยเทคโนโลยีที่มั่นคง

3. เหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนระยะยาว เพราะการที่เราสามารถปรับพอร์ตและรักษาความเสี่ยงให้คงที่ได้ จะทำให้นักลงทุน ลงทุนได้ในระยะยาวครับ

4. เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ลงทุนและไม่มีประสบการณ์ลงทุน เพราะผู้ที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่จะชอบกลยุทธ์การลงทุน และผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ก็จะชอบเพราะว่าสะดวกและง่ายมากๆ

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ StashAway สามารถดาวน์โหลดได้ทุกระบบปฏิบัติการเลยครับ

iOS : https://apps.apple.com/sg/app/stashaway-invest-and-save/id1229966330

Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.awp.stashaway&hl=th&gl=US

หรือจะแสกน QR Code ก็ง่ายมากๆ แต่ถ้าใครอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3rmWWlM ได้เลยครับ

บทความนี้เป็น Advertorial