ถ้าพูดถึงในยุคโควิดแบบนี้ แล้วมีคำถามตามมาว่า ควรลงทุนอะไรดี? ซึ่งหนึ่งในตลาดที่หลายคนสนใจ คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงเทรนด์สุขภาพที่มาแรงในตอนนี้
และยิ่งถ้าใครติดตามข่าวในช่วงนี้ จะเห็นว่าเมื่อมีแนวโน้มที่วัคซีนโควิดจะสำเร็จ หุ้นในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันแบบยกใหญ่ เพราะแนวโน้มสดใสที่กำลังจะตามมา
คำถามที่น่าสนใจ คือ เราสามารถใช้ประโยชน์จากส่วนนี้มาวางแผนภาษีไปด้วยกันได้ไหม ?
กองทุน RMF และ SSF ในกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยี
อาจเป็นอีกหนึ่งในตัวช่วยที่ดีในการวางแผนภาษีของเรา
สำหรับใครหลายคนที่วางแผนลดหย่อนภาษีในช่วงนี้ และสนใจในทิศทางการเติบโตขึ้นหุ้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี ก็สามารถวางแผนควบคู่กันไปได้ ด้วยกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งทั้งสองกองทุนประหยัดภาษีนี้เป็นการลงทุนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเกษียณหรือในอีก 10 ปีข้างหน้าก็ตาม ซึ่งเทรนด์ของโลกนั้นก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ในอนาคต ย่อมจะเติบโตขึ้นจนเราคาดไม่ถึง
เพื่อให้เห็นภาพ ผมขออนุญาตขายของพร้อมอธิบาย โดยนำข้อมูลกองทุนจากทาง กองทุนบัวหลวงที่เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล่านี้ ทั้งหมด 3 กองทุน มาเปรียบเทียบกันให้ดูครับ
โดยข้อมูลทั้ง 3 กองทุนนี้ถ้าเรามาพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่าเป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศทั้งหมด โดยเราจะมาลองดูรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละตัวกันครับว่า มีความแตกต่างกันแบบไหนยังไงบ้าง
• B-INNOTECHRMF
ลงทุนในกองทุนหลัก Fidelity Funds - Global Technology Fund ซึ่งกองทุนนี้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยีมากว่า 20 ปี และมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกที่คาดว่าจะสามารถเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของเราในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นพวก Machine Learning, AI, ยานยนต์ไฟฟ้าต่างๆ ไปจนถึงธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคอีกมากมาย
• BCARERMF
ลงทุนในกองทุนหลัก คือ Wellington Global Health Care Equity Fund ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทในอุตสาหกรรม Health Care ทั่วโลก โดยเน้นการลงทุนในหมวดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หมวดเภสัชกรรมทั่วไป (Major Pharmaceuticals) หมวดเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และ เภสัชกรรมเฉพาะทาง (Specialty Pharmaceuticals) หมวดผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Medical Products) และหมวดบริการด้านสุขภาพ (Health Services) ซึ่งถือได้ว่าครอบคลุมทุกกลุ่มการแพทย์เป็นหลัก และน่าจะได้รับอานิสงส์เต็มๆ จากภาวะในตอนนี้
• B-FUTURESSF
สำหรับกองทุนนี้จะไม่ได้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขยายมุมมองไปที่ธุรกิจที่สามารถปรับตัวด้วยการนำเทคโนโลยี หรือ นวัตกรรมต่างๆ มาปรับใช้เพื่อให้สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เน้นสะดวก สบาย และสนุก เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ด้วย โดยจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน B-FUTURE ที่ลงทุนหุ้นในกลุ่ม FinTech และกองทุนหลัก 2 กองทุนได้แก่
• Allianz Global Investors – Global Artificial Intelligence
กองทุนนี้จะเน้นลงทุนใน AI แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักคือ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI Infrastructure) แอปพลิเคชันที่ต้องใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI Application) และธุรกิจที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์พัฒนาด้านการผลิตหรือการให้บริการ (AI-enabled Industries)
• Fidelity Funds – China Consumer Fund
กองทุนนี้เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน หรือที่เรียกกันว่า New China ซึ่งนับว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้งในแง่ของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ล้ำสมัย เครือข่ายที่กว้างใหญ่ และจำนวนผู้บริโภคที่มีอยู่มหาศาล
คำถามที่ต้องถาม คือ เราวางแผนพอร์ตการลงทุนอย่างไร?
ถ้าให้แนะนำตรง ๆ จากกลุ่มอุตสาหกรรมนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจัดการได้ คือ การจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสม กระจายไปในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตามความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ เพราะผลตอบแทนที่ได้รับนั้นก็มีความเสี่ยงเป็นองค์ประกอบตามมาเช่นเดียวกัน
สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นไทยเป็นหลัก แต่ยังไม่มีหุ้นในกลุ่มนี้ การแบ่งน้ำหนักการลงทุนบางส่วนมาบ้างก็อาจทำให้เรามีโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามเทรนด์ และถือว่าเป็นการกระจายความเสียงนอกจากลงทุนแต่หุ้นไทยเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น คำถามว่าเราวางแผนพอร์ตการลงทุนแบบไหน อาจจะต้องสะท้อนกลับไปที่เป้าหมาย ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่ชัดเจน รวมถึงเกณฑ์ในการประหยัดภาษีที่เหมาะสมของตัวเองด้วยว่า เราต้องการแบบไหน ดังนั้นตอบตัวเองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอย้ำอีกทีว่า สิ่งที่สำคัญ คือ การวางแผนจัดพอร์ตควบคู่กับการลดหย่อนภาษี และเข้าใจสินทรัพย์ที่เราลงทุน จะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีที่สุดนั่นเองครับ
และถ้าหากใครสนใจกองทุนกลุ่มนี้ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.bblam.co.th แถมทางกองทุนบัวหลวงยังฝากบอกมาด้วยครับว่า ช่วงนี้ใครที่ลงทุนกองทุนโดยซื้อผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ มีโอกาสรับโปรโมชั่นถึง 3 ต่อดังนี้
• ต่อที่ 1 เมื่อซื้อ SSF หรือ RMF ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ และแลกใช้คะแนนสะสม Thank You Reward ทุก 1,000 คะแนน รับเครดิตเงินคืน 100 บาท
• ต่อที่ 2 สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่กองทุน SSF หรือ RMF และแลกใช้คะแนนสะสม Thank You Reward เพื่อซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนบัวหลวงที่เปิดบัญชีใหม่ มีสิทธิ์รับ Starbuck e-Coupon มูลค่า 100 บาท (จำกัดมูลค่าสูงสุด 100 บาท/ท่าน และจำกัด 1,000 สิทธิ์ต่อเดือน)
• ต่อที่ 3 สำหรับลูกค้าที่ลงทุน SSF หรือ RMF ครบ 5 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินลงทุนรวมกัน 150,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 2 ม.ค. 63 - 30 ธ.ค. 63 รับ Starbuck e-Coupon มูลค่า 300 บาท/ท่าน
คำเตือน :
• การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)
• ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน
• กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อ ยู่ในดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
บทความนี้เป็น Advertorial