เป็นคำถามที่พบบ่อยมากทุกครั้งที่ไปบรรยายเรื่องการเงินหลังเกษียณ เพื่อตอบเรื่องนี้ เราไปดูกฎหมายของสรรพากรก่อนดีกว่าว่าใครบ้างต้องเสียภาษี

บางคนชอบคิดว่า ‘การเงินเป็นเรื่องของผู้ใหญ่’ แต่จริงๆ แล้วเรื่องการเงินเป็นเรื่องของทุกคนไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ คนรวย หรือคนจน ทุกคนล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น และจะดีกว่ามั้ย ถ้าคุณหรือคนในครอบครัวของคุณมีความรู้ทางด้านการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าอะไรที่ควรทำหรืออะไรที่ไม่ควรทำ

คำว่าเกษียณอาจฟังดูน่าเบื่อและห่างไกลจากความคิดในหลาย ๆ คน คำว่าเกษียณในอดีตอาจหมายถึง คนสูงวัยที่เลิกทำงานและใช้ชีวิตทั้งวันอยู่กับบ้านเป็นส่วนใหญ่ ด้วยคำนิยามเหล่านี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจในเรื่องวางแผนเกษียณ เพราะยังรู้สึกว่าไกลตัว

ในปัจจุบันความรู้ทางการเงิน มีความจำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิต เนื่องจากเราทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงวัยเกษียณ ไม่ว่าจะเป็น การเก็บออมเงิน การซื้อประกัน การจ่ายภาษี หรือ การวางแผนเกษียณ ฯลฯ ซึ่งในแต่ละคน จะมีความรู้และทัศนคติในเรื่องการเงินที่แตกต่างกันออกไป

การวางแผนเพื่อการเกษียณอายุโดยทั่วไป เป็นการวางแผนที่มักจะต้องใช้เวลาจัดทำล่วงหน้าก่อนถึงวันเกษียณเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน อย่างน้อย 10-20 ปี และติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ

ในวันที่คนทุกเจนหันมาให้ความสนใจกับการบริหารเงินของตัวเองมากขึ้น เราจึงได้เห็นเทรนด์การเงินใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น FIRE, DINK หรือ Slow FIRE และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ล้วนแล้วนำไปสู่จุดที่เรียกว่า ‘อิสรภาพทางการเงิน’

ในช่วงสิ้นปี จนถึงต้นปีแบบนี้ นอกจากเทศกาลต่างๆ แล้ว สิ่งที่หลายคนกำลังเฝ้ารอมากที่สุด นั่นก็คือ ‘เงินโบนัส’ นั่นเอง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรางวัลชีวิตที่สามารถอดทน และฝ่าฟันความยากลำบากมาได้ตลอดทั้งปี ทำให้หลายคนไม่กล้าใช้เงินโบนัสในส่วนนี้ เพราะกลัวจะหมดไป หรือบางคนที่รู้สึกเศร้า และเสียดายไม่น้อยที่เงินโบนัสหมดแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรให้กับตัวเองเลย

“เตรียมเกษียณ” เป็นเรื่องที่สังคมไทยในปัจจุบันให้ความสำคัญมากขึ้น เหตุเพราะสังคมไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้วในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยประชากรมากกว่า 20% มีอายุมากกว่า 60 ปี แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ คนวัยเกษียณมีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถเกษียณได้อย่างแท้จริง เพราะเงินออมเกษียณที่เตรียมไว้ มีไม่มากพอ

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จากนิยามขององค์การสหประชาชาติให้นิยามว่าหมายถึงสังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกินกว่า 14% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

ในวันนี้ไทยเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว เรื่อง ‘การวางแผนเพื่อยามเกษียณ’ จึงกลายเป็นเรื่องที่คนไม่น้อยให้ความสำคัญมากขึ้น โดยข้อมูลจากเว็บไซด์มิเตอร์ประเทศไทย รายงานว่า ประชากรประเทศไทยมีจำนวน 66,214,465 คน ในจำนวนนี้ประชากรสูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปี จำนวน 13,316,212 คน คิดเป็น 20.11% และหากดูจำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีจำนวน 8,890,840 คน คิดเป็น 13.42% หมายความว่า โครงสร้างประชากรไทยอยู่ในช่วง Aged Society ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์

“น่าเสียดายตายแล้ว ยังใช้เงินไม่หมด น่าสลดเงินหมดแล้ว ยังไม่ตาย” หลายคนคงเคยได้ยินประโยคดังกล่าว และก็คงไม่มีใครอยากให้คำพูดนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือคนที่เรารัก และเพื่อไม่ให้เงินที่ตั้งใจเก็บเพื่อไว้ใช้หลังเกษียณหมดก่อนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ต้องเตรียมตัวรับมือก่อนที่เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้น

การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมาคือ ‘ตัวเร่ง’ สำคัญที่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของเราไปตลอดกาล (‘Digital Disruption’) ในมุมของการเงินก็ได้รับผลกระทบจากความก้าวหน้าจากเทคโนโลยีไม่น้อยเลยเช่นกัน