หลายคู่รักที่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว นอกจากเรื่อง ชีวิตความเป็นอยู่ การหารายได้ การสร้างอนาคตครอบครัวที่ต้องคิดและทำร่วมกันแล้ว ยังมีเรื่องที่สำคัญมากๆ อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องจัดการให้ดี นั่นก็คือ “การวางแผนภาษี” เพื่อให้คู่เราเสียภาษีได้น้อยที่สุดนั่นเอง

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับการจดทะเบียนสมรสกันก่อนดีกว่า... “ทะเบียนสมรส” ก็คือ เอกสารทางกฎหมายที่ยืนยันความสัมพันธ์ของคู่แต่งงาน ที่ใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันสิทธิ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างสามี-ภรรยา เช่น

-สิทธิ์ของบุตรที่จะเกิดขึ้น
-สิทธิ์ในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน
-สิทธิ์ในการรับเงินจากทางราชการหรือนายจ้างตามกฎหมายแรงงาน
-สิทธิ์ในการฟ้องร้องกรณีละเมิดแทนคู่สมรสของตัวเอง
-สิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายหากพบว่าคู่สมรสมีชู้

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว การจดทะเบียนสมรส ยังให้สิทธิประโยชน์ในเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่คู่สมรสอีกด้วย โดยสิทธิ์ที่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป ก็คือ สิทธิประโยชน์เรื่องการลดหย่อนภาษี กรณีที่คู่สมรสไม่มีเงินได้ สามารถหักค่าลดหย่อนคู่สมรส ลดหย่อนบิดามารดาของคู่สมรส รวมถึงนำเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรส และเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของคู่สมรส มาหักได้หากยื่นร่วม ส่วนกรณีที่คู่สมรสมีเงินได้ด้วยกันทั้งคู่ ในหลายกรณีการแยกยื่นแบบมักส่งผลดีมากกว่า

แต่จริงๆ แล้วการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับคนที่มีคู่สมรสนั้น สามารถวางแผนการยื่นแบบได้หลายวิธี ซึ่งเราสามารถวางแผนคำนวณเปรียบเทียบทางเลือกเพื่อให้ประหยัดภาษีได้มากที่สุดได้ โดยมีสิ่งที่ต้องพิจารณา 3 ประเด็น คือ ประเภทเงินได้ จำนวนเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว และค่าลดหย่อนของทั้งคู่

ประเด็นที่ 1 : ประเภทเงินได้

ตามมาตรา 57 ฉ แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีภรรยาไว้ สรุปความได้ว่า เรามีสิทธิที่จะยื่นเงินได้รวมกันทั้งหมด แยกยื่นทั้งหมด หรือ แยกยื่นเฉพาะเงินได้ 40(1) ส่วนเงินได้ประเภทอื่นๆ ยื่นรวมกันในชื่อใครคนหนึ่งก็ได้ และยังสามารถแบ่งรายได้ที่ไม่อาจแยกได้ว่าเป็นของใครออกเป็นอย่างละครึ่ง หรือกำหนดสัดส่วนสำหรับ เงินได้ประเภท 40(😎 ได้เองอีกด้วย ซึ่งประเด็นนี้เป็นประโยชน์มากในการวางแผนภาษีโดยเฉพาะกรณีที่คู่สมรสมีเงินได้ที่ไม่ใช่ 40(1) เพราะเราสามารถจัดสรรเงินได้ไปให้คู่สมรสเพื่อกระจายฐานภาษีได้

โดยทางเลือกในการยื่นภาษีสำหรับคู่สมรส มีให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

1. ต่างคนต่างยื่น

เหมาะกับกรณีที่ต่างฝ่ายต่างมีรายได้ทั้งคู่

2. ยื่นรวมกัน (ยื่นรวมกันในชื่อคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งไม่ต้องยื่น)

เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายหนึ่งไม่มีรายได้

3. ยื่นรวมเฉพาะ รายได้ 40(2)-40(😎 คือ การเอารายได้ 40(2)-40(😎 ของคู่สมรสมายื่นรวมกับของตน และอีกคนยื่นเฉพาะ รายได้ 40(1) ของตนเอง

เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายหนึ่งมีเงินเดือนมาก และมีรายได้จากทางอื่นด้วย การนำรายได้ 40(2)-40(😎 ไปยื่นกับฝ่ายที่มีเงินเดือนต่ำกว่าจะช่วยให้ประหยัดภาษีได้มากขึ้น

ประเด็นที่ 2 : จำนวนเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว

เนื่องจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอัตราภาษีแบบอัตราก้าวหน้า โดยทั่วไปหากต่างฝ่ายต่างมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย หรือมีเงินได้สุทธิ มากกว่า 150,000 บาท การยื่นรวมกันจะทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาประเด็นเรื่องประเภทเงินได้ และค่าลดหย่อนของทั้งคู่ประกอบด้วย

ประเด็นที่ 3 : ค่าลดหย่อนของทั้งคู่

ค่าลดหย่อนมีอยู่มากมาย เราควรเลือกใช้ให้ถูกต้อง และใช้ให้ครบตามสิทธิด้วย ตัวอย่างเช่น ค่าดูแลบุพการี เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ของแต่ละฝ่าย

ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นนี้ ต้องพิจารณาร่วมกัน และทางที่ง่ายที่สุดก็คือ การลองคำนวณยอดภาษีเงินได้ที่ต้องเสียดู ว่าการยื่นแบบใดจะทำให้สามารถประหยัดภาษีได้มากที่สุด ส่วนใครที่ยังลังเลว่าจะจดทะเบียนสมรสดีหรือไม่ ก็ลองยกข้อดีในเรื่องประโยชน์ทางภาษีนี้ไปให้คู่ของท่านพิจารณาได้ เผื่อท่านจะได้ชวนคู่ของท่านมาแต่งงาน จดทะเบียนสมรสกัน

เขียนโดย: มาลียา จูฑะเตมีย์ นักวางแผนการเงิน CFP®