ถ้าตอนนี้เราคือ ผู้ที่มีคุณค่าสำหรับคนรอบข้าง หากขาดเราไปย่อมส่งผลกระทบเชิงลบ ถ้าเป็นแบบนี้เราสมควรวางแผนประกันชีวิต แต่ก่อนเลือกแบบประกันชีวิตต้องมี 4 รู้ก่อน

✅(1) รู้เป้าหมาย

“ควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่” ซึ่งวิธีการคำนวนอาจมีหลากหลายแนวคิด จะเลือกใช้แนวคิดไหนก็ได้ แต่อยากให้กำหนดเป็นช่วงขั้นต่ำและขั้นสูง เพื่อที่จะได้สามารถมาช่วยจัดสมดุลให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระเบี้ย

ตัวอย่าง นายอบอุ่น อายุ 35 ปี มีรายได้เดือนละ 100,000 บาท มีลูกชาย 1 คน อายุ 1ปี หากวันนี้นายอบอุ่นเกิดเสียชีวิต อยากให้มีเงินให้กับครอบครัวเหมือนกับตอนที่นายอบอุ่นยังมีชีวิตอยู่จนกว่าลูกชายจะบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20ปีบริบูรณ์) ดังนั้นแนะนำทุนประกันที่ควรมี เท่ากับ 100,000บาท x 12 เดือน x 20 ปี = 24 ล้านบาท (แต่ถ้าหากมีอัตราการเพิ่มของเงินเดือนปีละ 4% ทุนประกันที่ควรมีจะเท่ากับ 35.7ล้านบาท) แต่ถ้ามองมุมค่าใช้จ่ายของครอบครัว ใช้เดือนละ 40,000 บาท และค่าเทอมลูกปีละ 80,000 บาท ทุนประกันชีวิตที่ควรมี เท่ากับ 40,000 บาท x 12 เดือน บวกกับ 80,000บาท ทั้งหมด x 20 ปี = 11.2 ล้านบาท (แต่หากมีอัตราเงินเฟ้อ 3% ทุนประกันที่ควรมีจะเท่ากับ 15 ล้านบาท)

จากตัวอย่าง เป้าหมายทุนประกันที่ควรมีจะอยู่ระหว่าง 11.2 ล้านบาท ถึง 35.7 ล้านบาท

กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลที่เพียงพอ แต่อย่าลืมว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวในโรงพยาบาล เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเดินทางของญาติที่มาเฝ้าไข้ ค่ากิน ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ เป็นต้น หากต้องรักษาตัวนานขึ้นก็มีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น อาจต้องหยิบยืม กู้สินเชื่อ หรือขายทรัพย์สินก็เป็นได้

✅(2) รู้ปัจจุบัน

รวบรวมข้อมูลการเงินในปัจจุบัน โดยอาจจะแบ่งง่าย ๆ เป็น 4 ส่วน

➡️ส่วนแรก คือ สินทรัพย์ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อใช้จ่ายได้ เช่น บ้านที่อยู่ปัจจุบัน

➡️ส่วนสอง คือ สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เช่น คอนโดปล่อยเช่า ที่ดินเกร็งกำไร

➡️ส่วนสาม คือ สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย เช่น เงินฝากในธนาคาร กองทุนรวม หุ้นในตลาดหลักทรัพย์

➡️ส่วนสี่ คือ ทุนประกันชีวิตในกรมธรรม์ประกันชีวิต

ซึ่งให้รวมจำนวนเงินส่วนที่ 3 และ 4 เพื่อจะได้รู้จำนวนเงินที่ครอบครัวสามารถนำมาใช้ได้หากคุณเสียชีวิต เช่น นายอบอุ่น มีกองทุน SSF และ RMF รวม 2 ล้านบาท มีทุนประกันชีวิต 1 ล้านบาท แสดงว่านายอบอุ่นเตรียมไว้ 3 ล้านบาท

✅(3) รู้สภาพคล่อง

ดูความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกแบบประกันที่เหมาะสม เพราะถึงแม้จะทำทุนประกันให้เพียงพอแต่ไม่มีความสามารถในการชำระเบี้ยก็จะทำให้แผนการเงินในปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จ

ตัวอย่าง นายอบอุ่น รายได้ปัจจุบัน 100,000 บาท ใช้จ่ายเดือนละ 40,000 บาท ถูกหักภาษีเดือนละ 5,000 บาท เก็บออมเพื่อยามเกษียณเดือนละ 25,000 บาท มีกระแสเงินสดคงเหลือ 100,000 – 40,000 – 5,000 – 25,000 = 30,000 บาทต่อเดือน หรือ 360,000 บาทต่อปี

✅(4) รู้แบบประกัน

แบบประกันมีทั้งหมด 4+1 ประเภท

➡️ประกันแบบชั่วระยะเวลา Term

จุดเด่น : เบี้ยถูกที่สุดเมื่อเทียบกับทุน
ข้อจำกัด : เบี้ยถูกที่สุดเมื่อเทียบกับทุน

➡️ประกันตลอดชีพ Whole Life

จุดเด่น : เบี้ยคงที่ ความคุ้มครองคงที่
ข้อจำกัด : ปรับลดทุนประกันไม่ได้

➡️ประกันสะสมทรัพย์

จุดเด่น : ความคุ้มครองเพิ่มขึ้นตามเบี้ยสะสมที่จ่าย เหมาะสม
กับการเก็บเงินไปพร้อมกับการสร้างความคุ้มครอง
ข้อจำกัด : เบี้ยสูงเมื่อเทียบกับทุน

➡️ประกันบำนาญ

จุดเด่น : ความคุ้มครองเพิ่มขึ้นตามเบี้ยสะสมที่จ่าย
ข้อจำกัด : เบี้ยสูงเมื่อเทียบกับทุน

➡️ประกันควบการลงทุน (Unit Link)

จุดเด่น : มีช่วงเบี้ยให้เลือกจ่ายได้ทุนประกันสามารถปรับลดระหว่างทางได้
ข้อจำกัด : ลดหย่อนภาษีไม่ได้ทั้งจำนวนเบี้ยที่จ่าย ได้เพียงส่วนที่หักค่าใช้จ่าย

เมื่อมี 4 รู้แล้ว ก็ถึงเวลามาเลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับโจทย์

ตัวอย่าง กรณีคุณอบอุ่น

🔴รู้เป้าหมาย : ทุนประกันที่ควรมี อยู่ระหว่าง 11.2 ล้านบาท - 35.7 ล้านบาท

🔴รู้ปัจจุบัน : เตรียมไว้แล้ว 3 ล้านบาท (ทุนประกัน 1 ล้านบาท + กองทุนภาษี 2 ล้านบาท)
ดังนั้น ยังขาดทุนประกันในช่วง 8.2 ล้านบาท - 32.7ล้านบาท

🔴รู้สภาพคล่อง : กระแสเงินสดคงเหลือ 360,000 บาทต่อปี

จากนั้นมาเลือกแบบประกันที่มีความเหมาะสม โดยคุณอบอุ่น เพศชาย อายุ 35 ปี ความคุ้มครองอย่างน้อย คือ 20 ปี

🔴แบบประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และเลือกที่ชำระเบี้ย 20 ปี

➡️ประกันชั่วระยะเวลา Term

• เบี้ยต่อทุน 10 ล้านบาท = 70,000 บาทต่อปี
เหตุผลสนับสนุนในการเลือก : ถ้าอยากให้มีทุนประกันที่สูงถึง 32.7ล้านบาท
บนงบประมาณไม่เกิน 360,000 บาท แบบนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด

➡️ประกันตลอดชีพ Whole Life

• เบี้ยต่อทุน 10 ล้านบาท = 230,000 บาทต่อปี
เหตุผลสนับสนุนในการเลือก : ถ้าไม่อยากจ่ายเป็นเบี้ยทิ้ง และสามารถส่งต่อเป็นแผนมรดกให้ลูกได้ต่อ โดยให้ความคุ้มครองอยู่ประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งพอครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายที่สำคัญในครอบครัว แบบนี้น่าสนใจที่สุด

➡️ประกันสะสมทรัพย์

• เบี้ยต่อทุน 10 ล้านบาท = 1,600,000 บาทต่อปี
เหตุผลสนับสนุนในการเลือก : แบบนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ในการเน้นการทำทุนประกันเท่าไหร่ เพราะงบประมาณในการจ่ายเบี้ยสูงเกินความสามารถในการชำระเบี้ย

➡️ประกันควบการลงทุน (Unit Link)

• เบี้ยต่อทุน 10 ล้านบาท = 85,000 – 200,000 บาทต่อปี
เหตุผลสนับสนุนในการเลือก : ถ้าอยากได้ทุนประกันที่สูง และสามารถปรับลดทุนประกันลงได้ระหว่างทางเนื่องจากความจำเป็นลดลงเช่นกัน รวมถึงเบี้ยประกันไม่ใช่เป็นเบี้ยทิ้งทั้งก้อน เพราะมีบางส่วนนำไปลงทุนด้วย แบบนี้ก็น่าจะครบเครื่องที่สุด

นี่คือเหตุผลที่ทำไมประกันถึงมีหลากหลายแบบ เพราะโจทย์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มุมมองและความชอบต่อประกันที่ไม่เท่ากัน และมีปัจจัยสนับสนุนที่แตกต่างเช่นกันอีกด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกทำประกันอยากให้ตั้งวัตถุประสงค์ของประกันเล่มนั้น ๆ อย่างชัดเจน เพราะพิจารณาความสามารถในการชำระเบี้ยด้วย เพราะการวางแผนการเงินที่ดี คือ การรักษาสมดุลให้เหมาะสมทั้งปัจจุบันและอนาคต พร้อมป้องกันความเสี่ยงหรือพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกด้วย

เขียนโดย: จิญาดา พฤกษาชลวิทย์ นักวางแผนการเงิน, CFP®