MINT คือ ดาวเด่นหุ้นท่องเที่ยวและอาหารในตลาดหุ้นไทย

MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จัดเป็นผู้เล่นชั้นแนวหน้าด้านท่องเที่ยวและอาหารในตลาดหุ้นไทย ด้วยเป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรมชั้นนำอย่างอนันตรา และแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังมากมาย เช่น Sizzler, Swensen’s และ Pizza Company โดย MINT ถือเป็นอีกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนระดับมหาศาลในตลาดหุ้นไทย จากมูลค่ากิจการหลักพันล้านในวันเก่ากระโดดขึ้นมาแตะมูลค่ากิจการหลักแสนล้านในวันนี้

COVID – 19 ทำให้ทุกอย่างลำบาก แต่กำลังจะผ่านไป

โรคระบาด COVID – 19 รอบนี้หนักหน่วงเกินกว่าที่หลายฝ่ายจินตนาการไว้ ทั้งเรื่องการจำกัดการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศ การปิดห้างร้านชั่วคราว ทั้งหมดล้วนทำให้ธุรกิจสะดุด แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส หุ้น MINT ถือเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ราคา 13.50 บาท เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนจะวิ่งกลับไปทำจุดสูงสุดที่ 26.25 บาท ในวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงเกือบ 100% กับนักลงทุนหุ้น MINT บางส่วน

แต่ตอนนี้ MINT กำลังจะออกหุ้นเพิ่มทุนรอบใหม่

MINT ถือเป็นอีกหนึ่งกิจการในตลาดหุ้นที่มีการหาเงินทุนในการขยายกิจการอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่ทราบกันดีว่า MINT ถือเป็นเจ้าพ่อในการควบรวมกิจการและขยายขนาดธุรกิจอย่างรวดเร็ว MINT หาเงินทุนหลายช่องทางอยู่สม่ำเสมอ และนี้จะเป็นอีกครั้งที่ MINT เพิ่มทุน ลงทุนศาสตร์จึงชวนทุกคนมาดูเรื่องสำคัญ 5 อย่าง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ MINT กัน

1. การท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว

ทันทีที่รัฐบาลประกาศผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโรคระบาดในระดับที่สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ และร้านอาหารเปิดได้อย่างอิสระ โรงแรมในเขตท่องเที่ยวที่ขับรถไปได้ถึงก็แทบจะระเบิด เพราะคนที่อัดอั้นกับการอยู่บ้านมานานเริ่มออกมาเที่ยว ดีมานต์ทุกโรงแรมและร้านอาหารในหัวหินแทบล้น นี่เป็นสัญลักษณ์สำคัญว่ากลุ่มท่องเที่ยวกำลังจะกลับมา พฤติกรรมของคนจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน การผ่อนคลายมากขึ้นจะส่งเสริมให้ธุรกิจโรงแรมเติบโต

ภาพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในไทย แต่ทั่วภูมิภาคเอเชียก็มีสัญญาณแง่ดีแบบนี้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะการพิจารณาการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมไปถึงการพิจารณาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจากประเทศที่ปราศจากโรคระบาดกลับมาท่องเที่ยวซึ่งกันและกันได้อีกครั้ง พายุร้ายกำลังจะพัดผ่านไป หากไม่มีการระบาดซ้ำเติมรุนแรง นี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าจุดต่ำสุดของภาคท่องเที่ยวได้ผ่านไปแล้ว อย่างน้อยทุกประเทศก็เรียนรู้การรับมือกับโรคร้ายได้ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก

แต่ในส่วนของภูมิภาคยุโรปก็เริ่มมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน ประเทศฝั่งยุโรปก็เริ่มผ่อนปรนมาตรการกันลงมาบ้างแล้ว อิตาลี เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสเปนกลับมาเปิดประเทศ MINT มีธุรกิจโรงแรมเครือใหญ่ คือ NHH อยู่ที่ยุโรป จุดเด่นคือเน้นกลุ่มลูกค้าภายในประเทศและประเทศใกล้เคียง นั่นคือลูกค้ากลุ่มแรกที่คาดว่าจะกลับมาหลังวิกฤต COVID – 19 เริ่มฟื้นตัว

2. ร้านอาหารไมเนอร์พร้อมรับวิกฤตอยู่แล้ว

หากเทียบกับความสามารถด้านการส่งอาหารถึงบ้าน เครือ MINT เป็นถึงผู้บุกเบิกของประเทศไทย เพราะระบบเดลิเวอรี่ในเครือ 1112 ถูกใช้งานมาก่อนแพลตฟอร์มอื่นเป็นสิบปี เมื่อวิกฤตการปิดหน้าร้านมาถึง MINT จึงสามารถรับมือได้อย่างรวดเร็ว อัตรากำไรขั้นต้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียให้กับคนกลางเมื่อทำการส่งด้วยตนเอง แถมการที่ดำเนินธุรกิจด้านนี้มานาน แบรนด์ในเครือ 1112 ก็กลายเป็นแบรนด์ที่ถูกคิดถึงเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อต้องการสั่งอาหารมากินที่บ้าน

และเมื่อกลับมาเปิดร้านอาหารได้ MINT ก็ปรับตัวได้อย่างว่องไว ทุกมาตรการตอบสนองและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการได้เป็นอย่างดี อย่างสลัด Sizzler ที่มีพนักงานตักให้ก็กลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียจนหลายคนต้องไปลองใช้บริการด้วยตนเอง แม้จะสะดุดไปบ้าง แต่ก็ลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การกลับมาทำธุรกิจได้ตามปรกติหลังเปิดห้างสรรพสินค้า กลายเป็นเครื่องบ่งชี้ความแข็งแกร่งของร้านอาหารในเครือไมเนอร์ได้เป็นอย่างดี

3. ความทนทานต่อวิกฤตของแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน

นี่ไม่ใช่วิกฤตแรกของ MINT และก็จะไม่ใช่วิกฤตสุดท้ายด้วยเช่นกัน ประเทศไทยเคยผ่านวิกฤตหนัก ๆ ด้านการท่องเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง และ MINT ก็กลับมาได้ทุกครั้ง แน่นอนว่าทุกครั้งที่เกิดปัญหา องค์กรจะได้เรียนรู้เรื่องการจัดการภายในในช่วงวิกฤตได้เป็นอย่างดี

เมื่อวิกฤต COVID – 19 มาถึง MINT เองก็ขยับตัวได้อย่างรวดเร็ว ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางรายการออก รวมไปถึงต่อรองลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลง อย่างเช่นค่าเช่าสถานที่ ผลที่เกิดขึ้น คือ MINT สามารถลดต้นทุนบางส่วนได้สูงถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

4. หุ้นเพิ่มทุนกำลังจะมาแล้ว

MINT ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 716 ล้านหุ้น ในอัตราไม่ต่ำกว่า 6.45 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ โดยคาดว่าจะได้รับเงิน 1 หมื่นล้านบาท และการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน หรือ Perpetual Bond อีก 1 หมื่นล้านบาท รวมเป็นการระดมเงินได้รวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท MINT จะสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลงมาอยู่ที่ระดับ 1.3 เท่าได้ภายในปีนี้

5. พิเศษ MINT – W7 สำหรับผู้ถือหุ้น

นอกจากการออกหุ้นเพิ่มทุนแล้ว บริษัทยังจะมีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ หรือ MINT – W7 ให้กับนักลงทุนเดิมด้วย โดยอัตราส่วนคือ 17 หุ้นเดิมต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัทได้รับประโยชน์คือคาดว่าจะได้รับเงินอีก 5,000 ล้านบาท ภายในช่วง 3 ปีข้างหน้า ส่วนนักลงทุนเองก็สามารถเลือกได้ว่าจะถือไว้เพื่อใช้สิทธิเพิ่มทุน หรือจะนำไปขายในตลาดรองอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ได้ มีเวลาคิดอีกประมาณ 3 ปี

MINT คือ หุ้นแข็งแกร่งตัวหนึ่งในตลาดหุ้นไทย

ประเด็นนี้พิสูจน์มาแล้วอย่างมากในผลประกอบการที่ผ่านมาในอดีต เมื่อประสบวิกฤต MINT เคลื่อนไหวและปรับตัวได้ไวเสมอ การระดมทุนเพิ่มถือเป็นการสร้างโอกาสให้ธุรกิจฟื้นจากวิกฤตได้อย่างแข็งแกร่ง นักลงทุนที่สนใจสามารถพิจารณาประเด็นนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเพิ่มทุนได้ ทั้งผู้ถือหุ้นเดิมที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน หรือนักลงทุนรายใหม่ที่จะเข้าซื้อหุ้นเพื่อรับสิทธิทั้งซื้อหุ้นเพิ่มทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญในเวลาเดียวกัน

ท้องฟ้าเริ่มเปิดแล้ว นี่อาจจะเป็นเวลาที่ภาคท่องเที่ยวและการบริโภคจะกลับมา

ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial