ในโลกที่มีธุรกิจกว่า 334,000,000 ล้านแห่ง สินทรัพย์ทางการเงินโดยรวมแล้วมูลค่ากว่า 300 ล้านล้านเหรียญ GDP โลกสูงถึง 96.5 ล้านล้านเหรียญ​ มนุษย์กว่า 8,100 ล้านคน ในประเทศเกือบสองร้อยแห่งที่มีหลายพันวัฒนธรรมและความเชื่อ นักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจจำนวนหยิบมือพยายามอย่างมากที่สุดเพื่อจะคาดเดาว่าต่อจากนี้โลกจะเป็นยังไง

การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นยังไงต่อ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นจริงๆ ไหม ฟองสบู่ไหนจะแตกอีก การเติบโตของ GDP ของแต่ละประเทศจะเป็นยังไง ฯลฯ มันเป็นเรื่องที่ยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่ยากเพราะมันมีตัวแปรเยอะนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

งั้นเราก็ควรยกธงขาวแล้วไม่สนใจมันเลยเหรอ?

ก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว เพราะแม้จะไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่หากเข้าใจหลักการพื้นฐานของโลกทุนนิยมบางข้อ เราจะพอรู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง

1. สิ่งที่ยอดเยี่ยมในเวลานี้เกิดขึ้นจากปัญหาใหญ่ๆ ทั้งสิ้น

โลกทุนนิยมเกิดขึ้นจากการแก้ปัญหา และไม่มีอะไรที่ขับเคลื่อนมนุษย์ให้แก้ไขปัญหาไปมากกว่าความลำบากในชีวิตอีกแล้ว รถไฟฟ้าไม่ได้บูมเพราะราคาน้ำมันถูก ไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่โลกต้องการเพราะสภาพแวดล้อมยังดีอยู่ มันได้รับความนิยมเพราะสภาพอากาศโลกที่โหดร้ายและราคาน้ำมันที่แสนแพง ใครก็ตามที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้จะได้รับรางวัลที่คุ้มค่าเสมอ

เหมือนกันกับความก้าวหน้าทางการแพทย์และยารักษาโลก เหตุผลเดียวที่วัคซีนถือกำเนิดขึ้นเพราะความจำเป็น ไม่งั้นคนก็ตาย Uber, Grab หรือ Line Taxi ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบแท็กซี่ แต่เกิดขึ้นเพราะระบบแท็กซี่มันมีปัญหา

ไม่มีใครชอบปัญหาครับ แต่ก็เพราะปัญหาใหญ่ๆ เหล่านี้แหละที่เป็นเชื้อไฟทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา เป็นรากฐานของสิ่งดีๆ ที่เรามีในตอนนี้

2. ความสำเร็จมีค่าหัวและเป้ายิงติดอยู่กลางหลัง

โลกทุนนิยมไม่ยอมให้คนประสบความสำเร็จอยู่ได้อย่างสบายใจ ใครทำอะไรสักอย่างสำเร็จอย่างมาก เดี๋ยวสักพักจะมีคนทำตามอย่างแน่นอน บริษัทใดก็ตามที่สร้างกำไรได้สูงๆ เดี๋ยวคู่แข่งจะเริ่มเข้ามายุ่มย่าม ตลาดหมีตลาดกระทิงเดี๋ยวก็มีพฤติกรรมแปลกๆ ทำลายล้างตัวเองเกิดขึ้น สินค้าที่ขายดีๆ เดี๋ยวก็มีของก็อปปี้ ถ้าคุณอยู่ข้างล่าง คุณก็ต้องถีบตัวขึ้นไปให้เท่ากับคู่แข่ง ถ้าคุณอยู่ข้างบน คุณก็ต้องพยายามผลักตัวเองให้สูงขึ้นไปตลอด

3. ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จท้ายที่สุดแล้วต้องทำให้คนสี่กลุ่มมีความสุข : ลูกค้า พนักงาน ซัพพลายเออร์ และ คนถือหุ้นบริษัท

หลายธุรกิจอาจจะทำได้แค่หนึ่งหรือสองกลุ่ม เช่นสินค้าดีลูกค้าชอบแต่ตลาดไม่ใหญ่พอผู้ถือหุ้นก็ไม่เอา สินค้ากำไรสูง แต่ต้องใช้แรงงานผิดกฎหมาย ในระยะหนึ่งก็คงพอได้ แต่ก็จะทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาวคือส่วนผสมของทั้งสี่กลุ่ม อาจจะไม่ต้องสูงสุดทั้งหมด แต่ต้องดีมากพอ

4. ความต้องการที่สูงที่สุดของมนุษย์คืออำนาจในการควบคุมเวลาของตัวเอง

แฟชั่นอาจจะมาแล้วก็ไป แต่ไม่ว่าตอนไหนคนก็ไม่อยากต่อแถวต่อคิว หรือต้องเสียเวลาทั้งอาทิตย์เพื่อรอของที่ซื้อออนไลน์ พนักงานอยากทำงานหนัก แต่หากต้องทำจนกระทั่งไม่มีเวลาให้ครอบครัว พวกเขาจะเริ่มตั้งคำถามและหาทางออกใหม่ทันที ธุรกิจอยากมีเวลาเพื่อลงทุนในระยะยาวโดยไม่มีผู้ถือหุ้นมากดดันผลตอบแทนระยะสั้น ความรู้สึกที่ว่าคนอื่นควบคุมเวลาของคุณเป็นอะไรที่ห่วยแตกมากๆ เพราะฉะนั้นหาวิธีมอบอำนาจคืนให้กับคนอื่น สิ่งเหล่านี้มีค่ามากๆ

5. คนไม่อยากเปลี่ยน เศรษฐกิจไม่เคยหยุดนิ่ง

ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำหรือคึกคักนานแค่ไหน คลื่นที่โต้กลับมาก็จะแรงขึ้นตามไปด้วย ตอนที่เศรษฐกิจดีๆ คนจะมองโลกในแง่ดีจนกระทั่งมันพังโครม ตอนที่เศรษฐกิจแย่ๆ คนจะมองโลกในแง่ร้ายจนกระทั่งพลาดโอกาสดีๆไป ความมั่นใจผู้บริโภคสูงสุดช่วงก่อนฟองสบู่แตก แต่ต่ำสุดช่วงก่อนตลาดวิ่ง เรามักคาดหวังให้ตลาดเคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แต่ที่จริงแล้วมันวนเป็นวงกลม เป็นคลื่น และรูปแบบใหม่ๆ ซะมากกว่า