หากพูดถึงประกันรถยนต์สำหรับคนไทยแล้วจะคุ้นเคยมากกว่าการซื้อประกันชีวิตเสียอีก คนไทยที่มีรถส่วนใหญ่จะซื้อประกันรถยนต์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้น 1, 2+, 2, 3+,3 ฯลฯ เพราะกลัวกันว่าหากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น และการมีประกันรถเอาไว้จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา
ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ก็มักจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน และบุคคล หากรอให้ผู้กระทำผิดชดใช้ความเสียหาย อย่างเช่น ค่ารักษาพยาบาลให้ อาจไม่ทันกาล ดังนั้นภาครัฐจึงมีแนวคิดที่จะคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยทุกคน โดยไม่สนใจว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายผิด หรือถูก หากเกิดความเสียหายขึ้น ผู้เสียหายก็จะได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เพื่อให้ได้รับการพยาบาลอย่างทันท่วงที และเป็นค่าปลงศพในกรณีที่ผู้ประสบภัยเสียชีวิต
นอกจากนี้ ยังถือเป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาลอีกด้วยว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลจากผู้ที่ประสบเหตุจากรถยนต์ หรือที่เรียกว่า สวัสดิการสงเคราะห์ของรัฐบาลที่มอบให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายและครอบครัว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนนั่นเอง ด้วยประกันรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance)
ประกัน พ.ร.บ. หรือ ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance) เป็นการประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน 2536 โดยกำหนดให้ให้เจ้าของรถที่มีชื่อในเล่มทะเบียนรถยนต์หรือผู้ครอบครองรถในกรณีเป็นผู้เช่าซื้อรถรถยนต์รวมถึงรถจักรยานยนต์ทุกคัน ทุกชนิดที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และรถที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์ ไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ต้องทำประกันภัย พรบ และต้องต่ออายุในทุก ๆ ปี นอกจากเป็นประกันภาคบังคับที่ผู้ใช้รถต้องทำอยู่แล้ว ประกัน พ.ร.บ. ยังเป็น 1 ในหลักฐานที่จำเป็นต่อการต่อภาษีรถยนต์ในทุก ๆ ปี ในกรณีที่ไม่ทำจะถือว่าทำผิดกฎหมาย
วัตถุประสงค์ของประกัน พ.ร.บ.
เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถที่ได้รับบาดเจ็บ และ/หรือเสียชีวิตเพราะเหตุประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีกรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต
เป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาลและสถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ในการรับรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ
เป็นสวัสดิสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เพราะเหตุประสบภัยจากรถ
ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว
ค่าชดเชยที่สามารถเบิกได้จากประกัน พ.ร.บ.
เนื่องจาก ประกัน พ.ร.บ. เป็นประกันภัยภาคบังคับ ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุและต้องเบิกค่าชดเชย สามารถเบิกค่าชดเชยจาก พ.ร.บ. รถยนต์ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งค่าชดเชยของประกัน พ.ร.บ. จะคุ้มครองเฉพาะคน ก็คือในกรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเท่านั้น สามารถเบิกค่าชดเชยได้ดังนี้
[ สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้น จะได้รับทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ]
ค่ารักษาพยาบาล พ.ร.บ. จะจ่ายให้ตามจริง โดยจ่ายให้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท หากต่อมาพิการหรือทุพพลภาพ จะจ่ายเพิ่มเติมโดยรวมแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน
ในกรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวรทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายให้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคน
ในกรณีที่เกิดการเสียชีวิต หากเสียชีวิตทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายค่าทำศพเป็นจำนวน 35,000 บาทต่อคน แต่หากเสียชีวิตภายหลังจะจ่ายให้แบบเหมารวมกับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน
[ สำหรับค่าเสียหายส่วนเกินที่สามารถเบิกได้จากประกัน พ.ร.บ. ]
จะมีการจ่ายชดเชยให้หลังจากพิสูจน์ความผิดแล้ว โดยบริษัทประกันของฝ่ายที่กระทำผิดจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท ดังนี้
ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีได้รับบาดเจ็บ จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกิน 80,000 บาท
ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ มือ แขน เท้า ขา ตา ตั้งแต่สองอย่างหรือสองข้างขึ้นไป หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะมีการจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ หูหนวก เป็นใบ้ เสียความสามารถในการพูด สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ มือ แขน ขา เท้า ตา หนึ่งอย่างหรือหนึ่งข้าง จะจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท
ในกรณีทุพพลภาพถาวร จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท
กรณีเสียชีวิต จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีเสียชีวิตภายหลัง) สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
นอกจากนี้จะมีการจ่ายเงินชดเชยเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) โดยจ่ายชดเชยให้วันละ 200 บาท รวมไม่เกิน 20 วัน
ค่าชดเชยส่วนที่เกินจากประกัน พ.ร.บ. สามารถเบิกได้จากประกันภาคสมัครใจ
โดยเฉพาะประกันภัยชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 3 แล้วแต่วงเงินที่ทำประกันไว้ ซึ่งค่าชดเชยที่สามารถเบิกได้ในกรณีรถชนนั้น มีดังนี้
ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนที่เกินจากวงเงินของประกัน พ.ร.บ. จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ค่าทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ค่าชดเชยจากสินทรัพย์ที่เสียหรือสูญหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ค่าชดเชยความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นขณะรักษาตัว เช่น ค่าขาดโอกาสในการเดินทางหรือการทำงาน ค่าขาดไร้อุปการะ ค่าชดเชยรายได้ ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
จะเลือกซื้อประกัน พ.ร.บ. กับบริษัทประกันไหนดี?
มี 2 กรณี คือ
ทำประกันภัย พ.ร.บ. อย่างเดียว ไม่ต้องการทำประกันภาคสมัครใจ แนะนำให้ทำกับบริษัทที่มีสาขามาก หรือมีสาขาอยู่ใกล้บ้าน เพื่อความสะดวกในการติดต่อ เพราะการทำประกันภัย พ.ร.บ. อย่างเดียว การบริการทั้งหมดเป็นของเจ้าของรถผู้เอาประกันหรือผู้เสียหายที่จะต้องดำเนินการเองทั้งหมด ต้องไปรักษาเอง สำรองจ่ายเอง ไปตั้งเบิกเอง ในการไปขอรับเงินค่าสินไหมที่บริษัทประกันภัยก็ต้องนำหลักฐานเอกสารไปเองให้ครบ ตั้งแต่ใบแจ้งความของตำรวจ ใบมรณะบัตร บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองแพทย์ ใบพ.ร.บ.ที่ติดหน้ารถ และเอกสารเกี่ยวข้องอื่น เพื่อเคลมค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ถ้าเอกสารดัง กล่าวนำไปไม่ครบ บริษัทก็จะปฏิเสธการจ่าย โดยให้นำเอกสารมาให้ครบก่อนจึงจะทำการจ่ายให้ได้ และที่สำคัญจะจ่ายให้ได้เฉพาะส่วนที่มีใบเสร็จถูกต้องเท่านั้น
ทำประกัน พ.ร.บ. แต่ต้องการทำประกันภาคสมัครใจด้วย ควรทำประกันกับบริษัทเดียวกัน โดยเลือกบริษัทที่มั่นคง ให้บริการที่ดี เพื่อความสะดวกในการเคลม หากความเสียหายที่เกิดขึ้นเกินวงเงินของประกัน พ.ร.บ. ก็จะมีวงเงินคุ้มครองจากประกันภาคสมัครใจมาช่วยอีกแรงหนึ่ง และการทำประกัน พ.ร.บ. และประกันภาคสมัครใจกับบริษัทประกันเดียวกัน เราจะไม่ต้องเสียเวลาไปกับติดต่อประสานงานถึง 2 บริษัทประกันภัย เพราะถ้าเป็นบริษัทประกันเดียวกันก็จะทราบเรื่อง ตั้งแต่เกิดเหตุครั้งแรก การดำเนินการต่อก็จะสะดวกและต่อเนื่อง ซึ่งจะง่ายและสะดวกกับตัวคุณเอง
พ.ร.บ. รถแต่ละประเภทราคาเท่าไหร่
เบี้ยประกัน พ.ร.บ. เป็นอัตราเบี้ยแบบคงที่ ไม่ว่าเราจะเคยประสบอุบัติเหตุหรือมีประวัติไม่ดี เคยเบิกเคลมแล้วไม่ว่ากี่ครั้งหรือมีประวัติดี ไม่เคยประสบอุบัติเหตุหรือไม่เคยเบิกเคลมเลยก็ตาม เบี้ยประกัน พ.ร.บ. ก็จะยังเท่าเดิม ทั้งนี้ ค่าเบี้ยจะขึ้นอยู่กับประเภทรถและขนาดของรถ โดยค่าเบี้ยที่ระบุด้านล่างนี้ได้รวมค่าอากรแสตมป์ และภาษีมูลค่าเพิ่มไว้เรียบร้อยแล้ว
รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน เบี้ยประกัน พ.ร.บ. = 645.21 บาท/ปี
รถกระบะน้ำหนักไม่เกิน 3 ตัน เบี้ย พ.ร.บ. = 967.28 บาท/ปี
รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน ไม่เกิน 15 ที่นั่ง = 1,182.35 บาท/ปี
ถ้าไม่ทำประกัน พ.ร.บ. จะมีโทษ หรือโดนปรับไหม
แน่นอนว่าประกัน พ.ร.บ. นั้นเป็นประกันภาคบังคับ หากไม่ทำ นอกจากต่อทะเบียนรถไม่ได้ ยังมีโทษปรับ ดังนี้
กรณีเจ้าของรถไม่ทำประกัน พ.ร.บ. มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
กรณีคนที่ไม่ใช่เจ้าของรถ ขับขี่รถคันที่ไม่ได้ทำหรือไม่ได้ต่ออายุประกัน พ.ร.บ. มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
กรณีที่เป็นเจ้าของรถไม่จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. และได้นำรถคันนั้นไปใช้ ถือว่าผิดทั้ง 2 กระทง มีโทษปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท