ในโลกการลงทุนความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง แต่เราต้องยอมรับว่าสามารถขาดทุนได้สูงเช่นกัน วันนี้ aomMONEY เลยอยากมาเล่าให้ฟังว่า ทำไมเราต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน?
มีสำนวนที่กล่าวว่า ‘อย่าใส่ไข่ทุกฟอง..ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน’ ที่นักลงทุนหลายคนน่าจะคุ้นหู เพราะไข่เปรียบเสมือนสินทรัพย์ของเรา ถ้าเราเลือกใส่ไข่ทั้งหมดที่มีไว้ในตะกร้าใบเดียว ก็จะตามมาซึ่งความเสี่ยงนั่นเองครับ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
aomMONEY อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ นะครับ
สมมติเรานำเงิน 10,000 บาทไปลงทุนในหุ้น A แล้วอยู่มาวันหนึ่งบริษัทที่เป็นเจ้าของหุ้น A เกิดข่าวเสียหาย ทำให้หุ้นติดลบ 20% เท่ากับว่าเงินลงทุนเราจะหายไปทันที 2,000 บาท
ตรงกันข้าม หากเรามีการจัดพอร์ตการลงทุนกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ และหุ้นตัวอื่นๆ ด้วย ก็จะทำให้เราขาดทุนน้อยลงหรือเพิ่มโอกาสการมีกำไรจากสินทรัพย์อื่นๆ มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น
มีเงินตั้งต้น 10,000 บาท , รับความเสี่ยงได้สูง
ก็อาจจะแบ่งสัดส่วนเป็น
ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ความเสี่ยงต่ำ 10% = 1,000 บาท
กองทุนรวมผสม ความเสี่ยงปานกลาง 30% = 3,000 บาท
หุ้น A 30% = 3,000 บาท
หุ้น B 30% = 3,000 บาท
เป็นต้น
อย่างน้อยถ้าหุ้น A ขาดทุน เราก็ยังมีสินทรัพย์อื่น คือ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม และหุ้น B
โดย aomMONEY ขอสรุปข้อดีของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน คือ
1. ลดความเสี่ยงในการขาดทุน หากสินทรัพย์นั้นๆ ขาดทุนจำนวนมาก
2. สามารถรับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้
3. ในระยะยาวสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
โดยเทคนิคหนึ่งที่ aomMONEY อยากจะแนะนำก็คือ การแบ่งพอร์ตการลงทุนเป็น 2 ส่วน
1. ส่วนหลัก (ลงทุนในสัดส่วน 60-70%) เป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทหุ้น อสังหาฯ หรือพื้นฐานโครงสร้างพื้นฐาน
2. ส่วนเสริม (ลงทุนในสัดส่วน 30-40%) สามารถลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้น-กลางได้ โดยจะเน้นลงทุนในกลุ่มที่เราคิดว่า สามารถทำกำไรได้ในช่วงเวลานั้นครับ
การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอครับ แต่ถ้าเราศึกษาข้อมูลมากพอและกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ ก็จะช่วยลดโอกาสในการขาดทุนได้ด้วยนะครับ
และนี่ก็คือเรื่องราวที่ aomMONEY เอามาฝากเพื่อนๆ ครับ