ท่ามกลางความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก รวมถึงความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ลงทุนต่างๆ ผันผวนตามไปด้วย ขณะเดียวกันนักลงทุนพยายามมองหาการลงทุนที่มีความปลอดภัยมากขึ้น และตลาดหุ้นอินเดียถือเป็นหลุมหลบภัยที่น่าสนใจ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าว ทำให้กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนหุ้นอินเดีย ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนหุ้นอินเดียได้รับความนิยม คือ การเติบโตเศรษฐกิจที่โดดเด่น โดยปัจจุบันอินเดียมีประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรสูงสุดในโลก และหากพิจารณาตัวเลข GDP พบว่าเศรษฐกิจอินเดียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่สหรัฐอเมริกาและจีน นอกจากนี้ จากประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน มีอายุเฉลี่ยเพียง 28 ปี ถือว่าอยู่ในแรงงาน ซึ่งเป็นวัยที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นและมีกำลังการใช้จ่ายสูง

อีกทั้ง หากพิจารณาด้านภาคธุรกิจ อินเดียก็ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทำให้ภาคธุรกิจกระจายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนในอินเดียมากขึ้น ซึ่งอินเดียก็ตอบโจทย์ได้ดี เนื่องจากมีวัยแรงงานอยู่ในระดับสูง ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจอินเดียในไตรมาส 2 ปี 2566 ขยายตัว 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและรายจ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น

หากสำรวจความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ พบว่าดัชนีภาคการผลิต (Manufacturing PMI) เดือนสิงหาคมปี 2566 อยู่ที่ระดับ 58.6 จาก 57.7 ในเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกับดัชนีภาคบริการ (Service PMI) เดือนสิงหาคมปี 2566 อยู่ที่ระดับ 60.1 ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่ดัชนีภาคบริการ ต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนว่าผู้ประกอบการของอินเดีย ส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงต่อการดำเนินธุรกิจตลอด 12 เดือนข้างหน้า

จากแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียที่เติบโตแข็งแกร่ง ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นอินเดีย โดย Bloomberg คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนอินเดียปี 2564 – 2566 เติบโตประมาณ 20% ต่อปี และคาดว่าจะเติบโตประมาณ 18.7% และ 16.6% ในปี 2567 และ 2567 ตามลำดับ

ปัจจุบันดัชนีหุ้น SENSEX อินเดีย ให้ผลตอบแทน 1 มกราคม – 2 พฤศจิกายน 2566 ระดับ 5.95% ขณะที่ดัชนี NIFTY 50 ให้ผลตอบแทน 6.34% โดยนักวิเคราะห์ Morningstar กล่าวว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนทำให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับสูงขึ้น เนื่องจากอินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค และตลาดทุนก็ได้รับกระแสเงินไหลเข้าอย่างแข็งแกร่งจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่ผลักดันให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่ง ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทที่ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ทำให้นักลงทุนเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของอินเดีย

โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจการเงินที่มีคุณภาพดี เช่น HDFC Bank ซึ่งมีข่าวเรื่องการควบรวมกิจการกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร HDFC Corp, ICICI Bank และ Kotak Mahindra Bank , หุ้นกลุ่มการบริโภคเนื่องจากฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ของประเทศและกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เริ่มมีการลดน้ำหนักการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอในตลาดสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป

สำหรับการเติบโตด้านเมกกะเทรนด์ของอินเดียที่น่าสนใจ คือ การบริโภคมีแนวโน้มเติบโต จากการมีวัยแรงงานระดับสูง ทำให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น, การลงทุนและการผลิต ที่จะเติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการขยายฐานการผลิตเข้ามาในอินเดีย, ภาคบริการทางการแพทย์ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานทางการแพทย์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ หรือประกันสุขภาพ, เทคโนโลยีและการสื่อสาร ที่จะมีการครอบคลุมจำนวนประชากรให้เพิ่มสูงขึ้น 

โดยปัจจุบันประชากรอินเดียที่มีมือถือ (สำรวจจากเบอร์มือถือ) อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำประมาณ 46% ทำให้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง, การพัฒนากระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีมาตรฐานมากขึ้น เช่น การกำกับดูแล การจดทะเบียนบริษัท การเก็บข้อมูล การพัฒนาระบบต่างๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เหตุผลที่อินเดีย น่าลงทุน

อินเดียมีเศรษฐกิจภายในประเทศขนาดใหญ่ จึงมีส่วนช่วยสร้างความแข็งแกร่งในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนของแนวโน้มการเติบโตทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกำลังผลักดันอัตราเงินเฟ้อของอินเดีย เนื่องจากเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันในระดับสูงเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ แต่ระดับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินเดีย อาจเป็นเกราะป้องกันและช่วยดูแลค่าเงินรูปีให้มีเสถียรภาพได้

เศรษฐกิจดิจิทัลของอินเดีย ถูกคาดการณ์ว่าจะมีขนาดเพิ่มขึ้นแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2026 เนื่องจากตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดียที่เฟื่องฟู โดยมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แพคเก็จการใช้บริการข้อมูลที่มีราคาจับต้องได้มากขึ้นทำให้ประเทศได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกระแสการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงอาจนำมาสู่ระดับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และโอกาสการจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ed-tech, fin-tech และ e-commerce

อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีลักษณะของความหลากหลายมากที่สุดของเอเชีย ด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ มีแหล่งรายได้ที่กระจายอยู่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งได้สร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการคัดเลือกหุ้น

นอกจากนี้ ความพยายามในการเปลี่ยนสู่ดิจิทัล ยังได้นำเสนอโอกาสมากมายสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงและเปิดรับโอกาสจากตลาดออนไลน์ ทำให้บรรดาบริษัทสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ที่สำคัญเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อมุ่งสู่การเติบโต

นอกเหนือจากกระแสการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลแล้ว ยังมีโอกาสในกลุ่มธุรกิจที่เป็นภาคเศรษฐกิจเก่าอีกด้วย เช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ บ้านได้กลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นมาก ขณะที่การฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายและเป็นประโยชน์ต่อบรรดาธนาคาร ธุรกิจก่อสร้าง ตลอดจนบริษัทปูนซีเมนต์

ส่วนในด้านอุตสาหกรรมการผลิต การแปลงสู่ดิจิทัลยังช่วยเพิ่มพูนความสามารถระดับท้องถิ่นและเชื่อมโยงผู้ผลิตเหล่านี้กับพันธมิตรระดับโลกในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด เมื่อมีความต้องการค้นหาทางเลือกอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทาน

กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA), บลจ.บัวหลวง

เป็นกองทุนประเภทฟีดเดอร์ ที่มีการลงทุนในหน่วยลงทุน RAM India Equities Portfolio Fund (บริหารโดย Nippon Life India Asset Management)

B-BHARATA มีกระบวนการลงทุนจากหุ้นจำนวนประมาณ 6,800 หุ้นในตลาดหุ้นอินเดีย ก็จะมีการคัดกรองด้วยการพิจารณาหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 150 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จากนั้นก็คัดกรองหุ้นจากกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร, การเติบโตของอุตสาหกรรม, ผลตอบแทนจากการลงทุน, ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจ, ฐานะการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ซึ่งหุ้นที่ถูกคัดกรองจะมีประมาณ 450 – 500 บริษัท จากนั้นคณะกรรมการลงทุนจะพิจารณาลงทุนประมาณ 40 – 60 บริษัท

สำหรับผลการดำเนินงาน B-BHARATA ถือว่าโดดเด่น โดย 1 มกราคม – 31 ตุลาคม 2566 ให้ผลตอบแทนรวม 10.93% ขณะที่ผลตอบแทนรวมเฉลี่ย (ต่อปี) 3 ปี และ 5 ปี ทำได้ 18.00% และ 12.18% ตามลำดับ

เหมาะกับใคร

1. นักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศเพื่อรับรายได้จากส่วนต่างจากการลงทุน

2. นักลงทุนที่ต้องการสะสมผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว (ไม่มีการจ่ายเงินปันผล)

3. นักลงทุนที่มีมุมมองว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตในระยะยาว

ทำไมต้องลงทุน

1. กระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในประเทศที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต

2. มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากผลการดำเนินงานของกองทุนรวม

3. สร้างผลตอบแทนชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ

ที่มา : Morningstar, Morningstarthailand, บลจ.บัวหลวง, บลจ.อีสท์ปริง (ประเทศไทย)