"อย่าใช้ อารมณ์-ความรู้สึก กับ การลงทุนในตลาดหุ้นเด็ดขาด" เชื่อว่าน่าจะเป็นคำพูดเตือนสติที่ นักลงทุนรุ่นพี่ อยากส่งผ่านมายัง นักลงทุนรุ่นน้อง

แต่พอถึงหน้างานจริงๆ เรื่องนี้กลับทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เพราะคนส่วนใหญ่ มักลงทุนไปตามอารมณ์และความรู้สึก มากกว่ายึดหลักเหตุผล

จริงๆ แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คนเรามักจะใช้อารมณ์นำเหตุผล เพราะข้อมูลทางประสาทวิทยา ชี้ชัดว่า ระบบสมองที่ทำงานด้านอารมณ์ มักประมวลผลได้เร็วกว่าระบบสมองความคิดอยู่เสมอ

แน่นอนว่า ปัญหาเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ ด้วย "ความรู้ " แต่พอเป็นเรื่องของเงินทีไร ก็มักมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่ใช่อะไร แต่มันคือสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเราเอง" เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไม่เก่ง แต่มักจะพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง ทำให้ตัดสินใจพลาดอยู่เสมอ

เพิ่งไปอ่านกระทู้ในเว็บไซต์พันทิป (https://bit.ly/3jxjVsZ) เป็นเรื่องราวของสมาชิกหมายเลข 6745562 ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ลงทุนว่า "ผมหมดตัวจากการเล่นหุ้นแล้ว จากเงินล้านห้าเมื่อปีกว่าๆ ในพอร์ต วันนี้ถ้าล้างพอร์ตเหลือแสนกว่าเท่านั้น"

สมาชิกท่านนี้ ตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า “ทำไมคนอื่นๆ จึงมีกำไรกันเยอะแยะ แล้วผมจึงต้องขาดทุนมหาศาลด้วยล่ะ ผมชอบหุ้นปั่นมากเกินไป เพราะแรกๆ เล่นหุ้นพื้นฐาน ก็ไม่ได้กำไร แต่ก็ขาดทุนไม่กี่เปอร์เซนต์ พอมาเล่นหุ้นปั่น คัตลอส (Cut Loss ) ตลอด เลยขาดทุนอยู่เรื่อย เล่น DW (Derivative Warrants) ก็ขาดทุนมากที่สุด จนต้องเลิกเล่น DW”

หลายคนเห็นกระทู้นี้ แอบตั้งข้อสังเกตุว่า เจ้าของกระทู้อาจมี Mind Set ว่า ต้องการเข้ามาเล่นการพนัน มากกว่าลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่?

แต่มีสมาชิกท่านหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า True or False เข้ามาคอมเมนต์และให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจว่า…

"คนส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ก็มักวาดฝันว่าจะได้กำไรเสมอ แต่พอเข้ามาจริงๆ จะรู้เลยว่าสนามการลงทุนแห่งนี้เป็น "เกมดูดเงิน" มากกว่า "แจกเงิน"

หลายคนบอก ตลาดหุ้นน่ากลัว เพราะมีเจ้ามือคอยทำราคา แต่สมาชิกท่านนี้มองว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าเจ้ามือ คือ "ทัศนคติของตัวเรา" ส่วนใหญ่จะพลาดเพราะ "โลภ" และ "กลัว" จนเกินไป เพราะคาดหวังกับการได้มาแบบเร็วๆ จึงต้องเสียไปแบบเร็วๆ นั่นเอง"

แล้วทำไม ความโลภ กับ ความกลัว จึงทำให้นักลงทุน เจ๊งไม่เป็นท่าล่ะ ??

พูดง่ายๆ "ความโลภ" เป็นอารมณ์ที่นักลงทุนอยากรวยมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งโลภมากเท่าไร การตัดสินใจด้วยเหตุผล ก็มักจะลดลงตามไปด้วยเท่านั้น บางครั้งทำเอานักลงทุนบางคนถึงกับตาบอด ไม่สนใจข้อมูลพื้นฐานขึ้นมาเฉยๆ

มีหลายครั้งที่ “ความโลภ” ทำให้นักลงทุนเกิดความกล้าผิดเวลา เข้าไปซื้อหุ้นในจุดที่เป็นอันตราย โดยลืมคำนึงถึงความเสี่ยง ความสมเหตุสมผล แถมยังไม่สนใจราคา สุดท้าย ติด "กับดัก" และ "ติดดอย"

ส่วน "ความกลัว" เป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ มักเกิดขึ้นในเวลาที่ต้องเผชิญวิกฤต หรือ อันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่บ่อยครั้ง ที่นักลงทุนในตลาดหุ้น ปล่อยให้อารมณ์นี้ เข้าครอบงำ จนตัดสินใจผิดพลาด บางรายรีบเทขายหุ้นดี เพราะกลัวตกขบวน ทั้งที่ไม่มีสัญญาณขาย หรือ บางรายเจอกับการขาดทุนติดต่อกันมาหลายๆ ครั้ง พอถึงโอกาสซื้อครั้งถัดไป ก็เกิดความกลัว ไม่กล้าซื้อ จนพลาดโอกาสซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง สุดท้าย พอร์ตพัง ไม่เป็นท่า

บอกเลย นอกจากความโลภ และความกลัวแล้ว ยังมีอีก 3 อารมณ์ ที่นักลงทุนในตลาดหุ้น ต้องรู้เท่าทัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเวลาก้าวเข้าสู่สนามการลงทุน นั่นคือ

1. ความคาดหวัง

บอกเลย อารมณ์นี้ อันตรายที่สุด!! เพราะจะทำให้ นักลงทุนคิดเข้าข้างตัวเอง มโนไปเองว่า ข้อมูลที่มีอยู่ถูกต้องและเชื่อถือได้มากที่สุด จึงยึดมั่นถือมั่นในหุ้นที่ถือครองอยู่ แม้จะขาดทุนก็ไม่ยอม Stop loss เพราะยังมีหวังว่ามันจะไปได้ต่อ ดังนั้น ทางที่ดีควรรีบขายออกตามแผน ห้ามมีความหวังเด็ดขาด อย่าบอกตัวเองว่า “เดี๋ยวมันก็กลับมา” คราวนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีอาจสายเกินแก้แล้ว

2. ความเสียดาย

เชื่อว่า นักลงทุนหลายคนคงต้องมีประสบการณ์ "ขายหมู" กันมาบ้าง ยิ่งหุ้นที่เราขายไป ราคาวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ อารมณ์ความเสียใจจะมากขึ้น จนกลบความดีใจตอนแรกไปซะหมด

แต่สิ่งที่น่ากลัว คือ การที่นักลงทุนจะกลับมาเล่นหุ้นตัวเดิมซ้ำๆหลายๆ รอบ เพราะเมื่อขายไปแล้วราคาไปต่อ ก็เลยทนไม่ไหว กระโดดเข้าไปซื้อใหม่ เพราะอยาก “เอาคืน” แต่ลืมไปรึเปล่าว่าทุกครั้งที่เข้าไปใหม่นั้น จะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น และมีความเสี่ยงมากขึ้นตาม ดีไม่ดีจะมาเสียหายทั้งหมดในตอนท้ายด้วย

3. ความใจร้อน อดทนไม่เป็น

การอดทนรอโอกาส เป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่มองข้าม เพราะพวกเขามักมองหาสูตรสำเร็จ หรือ ทางลัด ที่พาไปสู่ความร่ำรวยแบบไอดอล โดยที่หลงลืมไปว่ากว่าที่นักลงทุนแต่ละรายจะประสบความสำเร็จ ทำกำไรได้อย่างที่เห็น หลายคนต้องใช้เวลามากแค่ไหน ในการศึกษา เฝ้าสังเกต วิเคราะห์และหาจังหวะในการเข้าซื้อ และทั้งหมดนี้ต้องใช้ความอดทน

บอกก่อน ความอดทนที่พูดถึงนี้ ไม่ใช่อดทนเฝ้าหน้าจอเทรดเฉยๆ หรือ อดทนถือหุ้นในบริษัทที่ขาดทุนมาหลายปี แต่เป็นอดทนเฝ้ารอโอกาสในจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อรอซื้อในจุดที่ดีสุด ไม่เน้นทำกำไรระยะสั้น ที่สำคัญต้องรู้จักถอยออกมามองภาพรวมของตลาด เพื่อสร้างกำไรในระยะยาวด้วย

5 อารมณ์ที่เล่ามานี้ เป็นอารมณ์อันตรายในโลกการลงทุน ที่นักลงทุนควรตระหนักรู้ และอย่าเผลอปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ จนตัดสินใจพลาดทำพอร์ตพัง

พอรู้แบบนี้แล้ว นักลงทุนควรปรับอารมณ์ให้เข้าจังหวะของการลงทุนของตลาด ไม่ใจร้อน ต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับภาวะตลาดที่ผันผวนก็ตาม

ดั่งคำเตือน ของมหาเศรษฐีระดับโลก อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่บอกไว้ "ถ้าคุณใช้อารมณ์กับการลงทุน คุณจะไม่มีวันทำมันได้ดี"