ชีวิตในบ้านไร่ห่างไกลอาจเป็นความฝันอันสโลว์ไลฟ์ของใครหลายคนที่กำลังวิ่งวุ่นกลางเมืองใหญ่ในช่วงวัยทำงาน แต่สำหรับชายที่ชื่อ “โฆเซ มูฆิกา” (José Mujica) เขาเลือกอยู่แถบชนบทของเมืองหลวง กับสุนัขพิการที่มี 3 ขา เดินทางด้วยรถเก่าที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 1987 ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นถึงประธานาธิบดี

aomMONEY หยิบเรื่องราวของผู้นำประเทศที่ไม่เข้าพักในทำเนียบที่รัฐบาลจัดให้ บริจาครายได้เกือบทั้งหมดให้องค์กรการกุศล ใช้ชีวิตเรียบง่ายในบ้านและที่ดินของภรรยา จนถูกขนานว่า “ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก”

จุดกำเนิด

โฆเซ มูฆิกา เกิดเมื่อปี 1935 เกิดในครอบครัวแร้นแค้นมาก จนเกิดความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงสังคม เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม มูฆิกามีนิสัยเลือดร้อน ปากกล้าและหัวรุนแรง ช่วงปี 1960-1970 เขาเข้าร่วมกลุ่มติดอาวุธ “ทูปามารอส” (Tupamaros) ที่ได้แรงบันดาลใจจากการปฏิวัติในคิวบา พวกเขามีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มรัฐบาล ในช่วงอยู่กับกลุ่มกบฏ เขาเคยแม้กระทั่งร่วมกันปล้นธนาคารเพื่อหาทุนมาใช้ในการต่อสู้ทางการเมือง

ความพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมแบบถวายชีวิต ทำให้มูฆิกาต้องออกต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ร่วมกับกองกำลังติดอาวุธ การสู้รบทำเขาถูกยิงมากกว่า 6 ครั้ง ถูกจับกุมและคุมขังในคุกที่มีสภาพเลวร้ายรวมกว่า 14 ปี เคยถูกขังเดี่ยวและการทรมาน ครั้งหนึ่งเขาถูกห้ามไม่ให้อ่านหนังสือนานหลายปี

มูฆิกาเล่าว่า ประสบการณ์การต่อสู้และระยะเวลายาวนานในเรือนจำอันโหดร้าย หล่อหลอมให้เขาเป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบัน เมื่ออุรุกวัยกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเขาจึงถูกปล่อยตัวในปี 1985 ครั้งหนึ่งหลังออกจากเรือนจำ มูฆิกาได้นั่งลงบนโซฟานุ่ม และนั่นทำให้เขาเข้าใจว่า “ชีวิตคนเราได้รับความสบายแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

สู่การเป็นผู้นำประเทศ

มูฆิกาก้าวเข้าสู่แวดวงการเมืองจากการเป็นสมาชิกแนวร่วมพรรคฝ่ายซ้าย ค่อย ๆ สร้างผลงานจนได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรี จนได้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและชนะการเลือกตั้งในปี 2010 โดยจุดเด่นของเขาคือความเข้าใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ นโยบายสำคัญที่เขาใช้คือ การกวดขันวินัยด้านการเงินแบบอนุรักษนิยมและการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน เข้ามาลงทุนในอุรุกวัย

เขาถูกโจมตีจากเพื่อนที่เคยต่อสู้ร่วมกันสมัยเป็นกบฏฝ่ายซ้ายว่า ละทิ้งอุดมการณ์ กลุ่มทูปามารอสเคยวางระเบิดโรงงานของชาวต่างชาติ แต่ตอนนี้มูฆิกากลับเลือกที่จะลดภาษีในนักลงทุนเหล่านั้น

เขาตอบกลับว่า “เราต้องการทุนนิยมในการทำงาน เพราะต้องจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาจัดการปัญหาร้ายแรงที่เรามี, เพื่อนเก่าของเราบางคนไม่เข้าใจ เราไม่อยากต้องสู้เพื่อขนมปังที่น้อยลง ชีวิตไม่ใช่ยูโทเปีย”

สมถะ

โฆเซ มูฆิกาได้รับคำชื่นชมอย่างสูงในการปฏิบัติตัวที่เป็นแบบอย่างด้านการใช้ชีวิตติดดิน เขาปฏิเสธจะเข้าอยู่ทำเนียบรัฐบาลขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี แต่เลือกที่จะอยู่บ้านไร่ชานเมืองมอนเตวิเดโอ เขาบริจาคเงินเดือนกว่า 90% หรือราว 12,000 ดอลลาร์ (437,000 บาท) ให้องค์กรการกุศล ทำให้เขาเหลือรายได้เทียบเท่าประชาชนทั่วไปของอุรุกวัยเท่านั้น

และเมื่อมีการตรวจสอบทรัพย์สินตามกฎหมายพบว่า เขาและภรรยามีทรัพย์สินรวมกันราว 215,000 ดอลลาร์ (7,800,000 บาท) โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่ได้แก่ ที่ดิน รถแทรกเตอร์และบ้าน เป็นของภรรยาที่แต่งงานกันในปี 2005 ทั้งคู่เป็นสหายในกลุ่มกบฏ หลังแต่งงานก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่บ้านสวนแถบชานกรุงมอนเตวิเดโอ ทำให้เขาได้รับการเรียกขานจากคนทั่วไปว่า “ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก”

ประชาชนทั่วไปจะเห็นมูฆิกาขับรถเต่าโฟล์กสวาเกน บีเทิล สีฟ้าอ่อน คันเก่า ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1987 ซึ่งเรื่องนี้เป็นข่าวฮือฮามาแล้วปี 2014 เมื่อมีชายชาวซาอุดิอาระเบียขอซื้อรถเต่าคันดังกล่าวในราคา 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 36 ล้านบาท) แต่เขาปฏิเสธอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลว่า เขาจะขายส่วนหนึ่งของครอบครัวได้อย่างไร และถ้าเขาขาย เขาจะไม่มีรถพาเจ้ามานูเอลา สุนัข 3 ขาออกไปเที่ยว

แม้เขาจะใช้ชีวิตเรียบง่ายแต่มูฆิกามีนิสัยปากเร็ว บ่อยครั้งที่เขาออกมากล่าวโจมตีผู้นำประเทศอื่น เช่น ในปี 2015 เขาพูดว่า ประธานาธิบดี “นิโกลัส มาดูโร” (Nicolás Maduro Moros) ของเวเนซุเอลาว่า บ้าราวกับแพะ

อีกทั้งยังกล่าวว่า ประเทศมหาอำนาจนิยมการบริโภคโดยไม่สนใจว่าจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับโลกมากแค่ไหน เขากล่าวถึงสภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ผิดเพี้ยนไป แต่ได้รับความสนใจน้อยกว่าการแสวงหาผลประโยชน์ เขาพูดว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะทำลายล้างกันเพิ่มมากขึ้น มีการจ่ายเงิน 2,500,000 ดอลลาร์ (91,200,000 บาท) ต่อนาทีเพื่อซื้อหาอาวุธ และนั่นเป็นเรื่องโง่เขลาที่สุดที่เขาได้ยิน

นอกจากการพูดจาของเขาที่ถูกพูดถึงแล้ว มูฆิกาก็ถูกวิจารณ์เรื่องการบริหารประเทศด้วย มีหลายอย่างที่ฝ่ายค้านและประชาชนกล่าวว่า ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นเลยในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุขและการศึกษา เป็นต้น

โฆเซ มูฆิกาลงจากตำแหน่งในปี 2015 ได้รับเงินบำนาญและยังคงอาศัยอยู่ในบ้านไร่ชานเมืองเช่นเดิม กระทั่งในปี 2018 เขาแจ้งปฏิเสธรับเงินบำนาญพร้อมหยุดพักเส้นทางทางการเมือง ไปใช้ชีวิตแสนเรียบง่ายที่เขาวางไว้ และเขาเคยได้รับการเสนอชื่อรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 2 ครั้ง

เขาได้ยินคนกล่าวชื่นชมแนวทางการใช้ชีวิต แต่มูฆิกากลับคิดว่า โลกมันผิดเพี้ยนไปใหญ่ ขนาดที่ต้องมาประหลาดใจกับอะไรที่มันธรรมดาแบบนี้

“หากคุณไม่มีทรัพย์สินมากมาย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเหมือนทาสเพื่อดูแลมัน คุณก็จะมีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น, ผมถูกเรียกว่า ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก แต่ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่าจน คนจนคือคนที่ทำงานเพื่อรักษาวิถีชีวิตที่มีราคาแพงต่างหาก” เขากล่าว

เรียบเรียงโดย อติพงษ์ ศรนารา