ปฏิเสธไม่ได้ว่าใครๆ ก็ต้องการร่ำรวยหรือมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่แน่นอนสิ่งที่ตามติดมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ภาษี และภาษีประเภทหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจหวาดกลัว คือ VAT หรือ Value-added tax ที่สำคัญหากไม่เข้าใจและเตรียมการรับมือให้ดี เงินที่เก็บมาหลายปีอาจหายไปจนหมดสิ้นในเวลาสั้นๆ ก็เป็นได้ จึงต้องเรียนรู้แนวทางการรับมือ เพื่อไม่ต้องมาเสียใจ ดังคำกล่าวที่ว่า “รู้อะไรไม่สู้ รู้งี้”

VAT เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นการผลิต ตลอดการจำหน่ายหรือการให้บริการ หรือ เป็นภาษีที่เก็บกับผู้บริโภครายสุดท้าย โดยมีข้อควรรู้และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการจด VAT ดังนี้

➡️ VAT นั้นเก็บจากรายได้ ไม่ใช่กำไร
➡️ รายได้ บางประเภท ได้รับการยกเว้น VAT เช่น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) อย่าง เงินเดือน โบนัส เป็นต้น
➡️ ทั้งบุคคล และ นิติบุคคล ล้วนต้องจด VAT หากรายได้ถึงเกณฑ์
➡️ เกณฑ์ดังกล่าวคือ หากมีรายได้จากการขายสินค้าหรือการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องเข้าสู่กระบวนการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนนับแต่นั้นเป็นต้นไป
➡️ ในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า VAT บ้านเราคือ 7%

โดยขั้นตอนการจด VAT และหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องทำหลังอยู่ในเกณฑ์ต้องเสีย มีดังนี้

✅1. จดทะเบียน ภ.พ.01 ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่รายได้เกิน 1.8 ล้านบาท

✅2. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน (สามารถดูได้จากข้อมูลในเว็บของทางสรรพากร)

✅3. หลังจากจด VAT เรียบร้อย ท่านจะได้เอกสารที่ชื่อ ภ.พ.20 ซึ่งเป็นเอกสารหลักฐานที่แสดงถึงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยจะต้องเก็บเจ้า ภ.พ.20 นี้ไว้ที่สำนักงาน หากมีเจ้าหน้าที่สรรพากรเข้ามาตรวจสอบที่สถานประกอบการเรา มักจะขอดูเอกสารตัวนี้ รวมถึงยังใช้ในกรณีต่างๆ เช่น การขอกู้กับธนาคาร อีกด้วย

✅4. เมื่อจดแล้ว หากมีการขายจะต้องออกใบกำกับภาษีขาย หากมีการซื้อต้องรับใบภาษีซื้อ และทำรายงานสรุปไว้

✅5. มีการยื่นแบบ ภ.พ.30 ภายในทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

📌บทลงโทษของการจด VAT ล่าช้า

• ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
• ต้องเสียค่าปรับเป็น 2 เท่า ของภาษีที่จะต้องชำระนับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ในแต่ละเดือนภาษี
• ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ถ้าเศษของเดือนก็จะถูกนับเป็นอีก 1 เดือน
• ไม่สามารถนำภาษีซื้อที่เกิดในเดือน ก่อนที่จะจด VAT นั้นมาหักภาษีขายได้

หลายคนอาจรู้สึกว่าไม่ได้มีบทลงโทษมากมายอะไร แต่หากมีรายได้ 1.8 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 150,000 บาท แล้วไม่ไปยื่นจด VAT และเมื่อถึงสิ้นปีที่ 2 รายได้ 1.8 ล้านบาท จะมีภาระภาษี + เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มสูงสุดถึง 400,000 บาท และหากยังคงไม่ได้จด VAT ต่อในสิ้นปีที่ 3 ตัวเลขภาระภาษี + เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มนี้จะสูงขึ้นไปถึงกว่า 900,000 บาท

สำหรับที่กำลังจะเริ่มจด VAT และประเมินว่ากิจการน่าจะมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็สามารถเลือกจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเริ่มต้นกิจการ ซึ่งจะมีประโยชน์ ดังนี้

✅1. กิจการได้ใช้สิทธิขอคืนภาษีซื้อสำหรับค่าสินค้าหรือค่าใช้จ่ายในช่วงเริ่มดำเนินการ การจด VAT ทำให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการจะได้ประโยชน์จากการนำภาษีซื้อไปใช้เพื่อลดภาระภาษี
✅2. กิจการมีระบบการทำบัญชีการซื้อขายที่ดีขึ้น และสร้างความน่าเชื่อถือ
✅3. กิจการได้ยอดขายเพิ่มจากนโยบายของรัฐ กรณีมีแคมเปญภาษี เช่น ช็อปดีมีคืน เป็นต้น

สำหรับคนที่จด VAT ไปแล้ว และกำลังอยากที่จะออกจากระบบ VAT ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการขอออกจาก VAT โดยมีเงื่อนไข คือ ต้องมียอดขายต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ติดต่อกัน ถึงจะมีสิทธิขอให้อธิบดีสั่งถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้

โดยสรุป หากมีการบริหารจัดการรายได้และภาษีที่ดีและทำอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ระบบ VAT หรือการออกจากระบบ VAT ก็จะสามารถทำได้อย่างราบรื่น และสบายใจในการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส

เขียนโดย: คุณสรวงพิเชฏฐ์ หลายชูไทย นักวางแผนการเงิน CFP®