ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน หนึ่งในปัญหาทางการเงินของคนไทยคือ ‘เงินเดือนไม่เหลือพอให้เก็บ’ บ้างก็ว่าเป็นเพราะเงินเดือนน้อยเกินไป ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นเพราะค่าครองชีพต่างหากที่สูงเกินไป แต่จริงๆ แล้วจะเป็นเหตุผลไหนนั้น มาหาคำตอบกัน

ถ้าอิงข้อมูลจากรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) เราจะเห็นได้ว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2563 รายได้ต่อหัวของคนไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

➡️ปี 2563 อยู่ที่ 225,311.4 บาทต่อคนต่อปี หรือ 18,775.95 บาทต่อเดือน
➡️ปี 2654 อยู่ที่ 231,986.1 บาทต่อคนต่อปี หรือ 19,332.17 บาทต่อเดือน
➡️ปี 2565 อยู่ที่ 248,677.2 บาทต่อคนต่อปี หรือ 20,723.1 บาทต่อเดือน
➡️ปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 259,409.3 บาทต่อคนต่อปี หรือ 21,617.44 บาทต่อเดือน

จากสถิติพบว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยสูงขึ้นเฉลี่ย 4.82% ต่อปี เลยทีเดียว

แม้ว่ารายได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำไมคนไทยยังไม่มีเงินเก็บอยู่?

เพราะเมื่อเรามาดูจากตัวเลขสถิติเงินฝากจากธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2566 พบว่า ณ ปัจจุบันมีจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมด 125,114,918 บัญชี

แต่บัญชีที่มีเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท มีอยู่ถึง 110,781,825 บัญชี (88.54% จากบัญชีเงินฝากทั้งหมด)
ในขณะที่ บัญชีเงินฝาก 1 ล้านบาทขึ้นไปมีเพียงประมาณ 2 ล้านบัญชีเท่านั้น

ทีนี้เรามาดูในฝั่งค่าครองชีพกันบ้าง ข้อมูลดัชนีรายจ่ายครัวเรือนโดยศูนย์วิจัยกสิกรชี้ให้เราเห็นว่า ในปี 2566 นี้ คนไทยต้องเจอกับ 3 กลุ่มค่าใช้จ่ายหลักที่แพงขึ้น นั่นคือ ค่าไฟ ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ ซึ่งเติบโตขึ้นกว่า 9% (YoY) เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และค่าใช้จ่ายเพียงสามส่วนนี้คิดเป็นกว่า 39% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครัวเรือนเลยทีเดียว

นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าแม้ภาพรวมรายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยของคนไทยจะสูงขึ้น แต่เงินเก็บของคนไทยยังเป็นการกระจุกอยู่เฉพาะกลุ่มอยู่ และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนคือเงินเดือนของคนไทยเติบโตไม่ทันค่าครองชีพ เพราะอย่างที่เราเห็นว่าในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 4.82% ต่อปี แต่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพียงสามด้าน ในปีเดียวก็เติบโตขึ้นกว่า 9% แล้ว

แน่นอนว่าในแต่ละเดือนเราต้องเสียเงินมากกว่า 3 กลุ่มค่าใช้จ่ายหลักที่กล่าวไป มาดูกันว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ในปี 2566 นี้ คนไทยมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอย่างไรบ้าง โดยอิงข้อมูลจาก สำนักงานนโยบาย และยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

➡️ค่าอาหาร (ของสด อาหารบริโภคในบ้าน อาหารบริโภคนอกบ้าน) เฉลี่ย 7,517 บาท
➡️ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน และค่าโทรศัพท์มือถือ เฉลี่ย 4,208 บาท
➡️ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้ไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม เฉลี่ย 4,037 บาท
➡️อื่นๆ เฉลี่ย 2,367 บาท
💰รวม 18,129 บาทต่อเดือน

โดยข้อมูลข้างต้นจะทำให้เราเห็นว่า ในแต่ละเดือน คนไทยเหลือเงินสำหรับเก็บ 3,488 บาทต่อเดือน หรือเพียง 16.14% จากรายได้ทั้งหมด ดูเหมือนจะเหลือเงินเก็บเยอะ แต่ต้องบอกว่านี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น และรวมเอารายรับรายจ่ายของคนที่มีรายได้สูงเข้ามารวมด้วย อีกทั้งหากแค่พิจารณาค่าที่อยู่อาศัยในความเป็นจริงของสังคมเมืองก็สูงกว่านี้มาก จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเงินเก็บจำนวนนี้เท่ากัน เพราะอย่างที่เราเห็นว่ามีคนไม่น้อยที่ไม่เหลือเงินเก็บในแต่ละเดือนจนเกิดปัญหาหนี้ตามมาเช่นกัน

พอมาถึงตรงนี้ก็อดเปรียบเทียบกับฐานเงินเดือนในต่างประเทศไม่ได้ ว่าในต่างประเทศเขาประสบปัญหาเงินเดือนไม่เหลือเก็บแบบเราหรือเปล่า เราจึงจะพาไปดูข้อมูลจาก World Data และ Living Cost โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา มาดูกัน

กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

➡️1. สหรัฐอเมริกา
รายได้เฉลี่ย 224,012 บาทต่อเดือน รายจ่ายเฉลี่ย 81,558 บาท เหลือเงินเก็บ 142,454 บาท (63.59%)
➡️2. สิงค์โปร์
รายได้เฉลี่ย 197,120 บาทต่อเดือน รายจ่ายเฉลี่ย 119,961 บาท เหลือเงินเก็บ 77,159 บาท (39.14%)
➡️3. ออสเตรเลีย
รายได้เฉลี่ย 177,267 บาทต่อเดือน รายจ่ายเฉลี่ย 77,862 บาท เหลือเงินเก็บ 99,405 บาท (56.08%)

กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

➡️1. จีน
รายได้เฉลี่ย 37,699 บาทต่อเดือน รายจ่ายเฉลี่ย 24,358 บาท เหลือเงินเก็บ 13,341 บาท (35.39%)
➡️2. อัลจีเรีย
รายได้เฉลี่ย 11,440 บาทต่อเดือน รายจ่ายเฉลี่ย 15,206 บาท เงินติดลบ 3,766 บาท (-32.92%)
➡️3. อาร์เจนตินา
รายได้เฉลี่ย 34,073 บาทต่อเดือน รายจ่ายเฉลี่ย 21,225 บาท เหลือเงินเก็บ 12,848 บาท (37.71%)

จะเห็นได้ว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วฐานเงินเดือนโดยเฉลี่ยล้วนสูงกว่าของไทยแทบทั้งนั้น แต่ตามมาด้วยรายจ่ายโดยเฉลี่ยที่สูงขึ้นเช่นกัน แต่ถึงจะมีรายจ่ายที่สูงกว่าของไทยมาก สัดส่วนเงินเก็บก็ยังอยู่ในระดับ 30-50% ของรายได้ต่อเดือน ส่วนในฝั่งประเทศกำลังพัฒนามีบางประเทศที่สัดส่วนเงินเก็บสูงไม่แพ้ฝั่งประเทศพัฒนาแล้วเช่นกัน

ในเมื่อฐานรายได้ และรายจ่ายอิงอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งยังมีการขึ้นลงอยู่ตลอด เราเห็นแล้วว่าสัดส่วนเงินเก็บของคนไทยนั้นน้อยมากแม้จะเทียบกับประเทศกลุ่มกำลังพัฒนาด้วยกัน การ ‘ใช้เงินก่อนออม’ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีนักหากอยากมีเงินเก็บออมในแต่ละเดือน แต่การวางแผน และจัดการแนวทางการใช้เงินในแต่ละเดือนจะช่วยให้เราสามารถใช้เงินได้คล่องมือมากขึ้น ที่สำคัญคือการ ‘ออมก่อนใช้’ จะช่วยให้เรามีเงินเก็บออมอย่างแน่นอน