“มีใครรู้สึกว่าใช้ชีวิตผิดพลาดในช่วงวัยกลางคนบ้างคะ”
เป็นกระทู้หนึ่งในเว็บไซต์ Pantip ที่บังเอิญอ่านเจอแล้วก็โดนมากๆ เพราะเราเองก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พยายามดำเนินชีวิตตามแนวทางที่มีคนบอกว่าดี ไม่ว่าจะเป็นแนวทางด้านศาสนา หรือคำสอนของคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย จนที่บ้านมีแต่หนังสือประเภท How to เต็มบ้านไปหมด เพื่อนๆ หลายคนถึงกับตั้งฉายาว่า “จริงจังแมน”
แต่ทำไมเราก็มีความรู้สึกเหมือนอย่างที่น้องคนนี้โพสต์ และเมื่ออ่านคอมเม้นท์ก็ยิ่งพบว่า อาการนี้เป็นกันหลายคน เมื่อเป็นหลายคน มันก็น่าจะเป็นปรากฏการณ์ (Phenomena) พอศึกษาดูก็พบ บทความของ นพ.ธรรมนาถ เจริญบุญ บอกว่า มันคือ วิกฤติวัยกลางคน (Midlife Crisis)
วิกฤติวัยกลางคน (Midlife Crisis) คืออะไร?
วิกฤติวัยกลางคน (Midlife Crisis) คือ การที่ผู้ใหญ่ที่อยู่ในช่วงอายุ 35-50 ปี เกิดคิดทบทวนหรือประเมินชีวิตตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน ชีวิตคู่ ความสุขในชีวิต หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งการคิดทบทวนนี้มักถูกกระตุ้นมาจากการตระหนักว่า ชีวิตนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และเราควรจะประสบความสำเร็จ (หรือมีความสุข) ได้แล้ว
วิกฤติวัยกลางคน ไม่ใช่โรค และไม่ใช่ความผิดปกติทางการแพทย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา ที่พบได้ในคนทั่วไป ยังมีงานวิจัยสนับสนุนจากแอนดรูว์ ออสวอลด์ จากมหาวิทยาลัยวอร์วิคที่พบเช่นกันว่า ความสุขของช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตมนุษย์นั้นจะออกมาในรูปแบบกราฟตัว U-shape
กล่าวคือ ในช่วงวัยรุ่นมนุษย์มักมีความสุขที่ค่อนข้างสูงกว่าวัยอื่นๆ แล้วจะลดต่ำลงในช่วงวัยทำงาน แล้วจึงค่อยมีความสุขในชีวิตมากขึ้นอีกครั้งตอนสูงอายุ สิ่งที่สังเกตพบได้คือช่วงอายุ 41-50 ปีหรือช่วงวัยกลางคนมักจะเป็นช่วงที่คนมีความสุขน้อยที่สุดโดยเฉลี่ยจากการศึกษาในประชากรหลายประเทศ
“วิกฤติวัยกลางคน” ในคนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการรุนแรง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจตัดสินใจทำอะไรรุนแรง โดยไม่ไตร่ตรอง เช่น หย่า ลาออกจากงาน เป็นต้น หรือในใครที่เป็นหนักมากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดโรคซึมเศร้าตามมาได้
สาเหตุของ “วิกฤติวัยกลางคน”
เหตุที่เป็น “วิกฤติวัยกลางคน” เนื่องจากพบว่ามนุษย์ในช่วงอายุ 35-50 ปีนี้ เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเข้ามาในชีวิต ได้แก่
(1) การเสื่อมของร่างกาย เป็นช่วงอายุที่เริ่มมีโรคประจำตัวมากขึ้น
(2) ฮอร์โมนเปลี่ยน โดยเฉพาะในผู้หญิงจะเห็นได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย เพราะจะเริ่มเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน ทำให้มีอาการของคนที่กำลังจะเข้าวัยทอง
(3) ความฝันกับความจริงไม่เหมือนกัน ในช่วงวัยรุ่นเรามักมีความฝันที่อยากสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเงิน ครอบครัว หรือแม้แต่สุขภาพ แต่เมื่อชีวิตผ่านไปสักระยะหนึ่ง เราก็จะพบกับความจริงที่ว่าไม่สมหวังหลายๆ อย่าง ยิ่งเทียบกับคนรุ่นเดียวกันที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกว่าตนเองล้มเหลว เครียด หดหู่
(4) เริ่มตระหนักได้ว่าอีกไม่กี่ปีก็เกษียณแล้ว เวลาของเราเหลืออีกไม่มาก เราควรจะต้อง “ทำอะไร” แล้ว แต่ที่ผ่านมากลับไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เลยเริ่มมีความกังวลเกิดขึ้น
(5) การสูญเสียของคนใกล้ชิด ช่วงอายุนี้มักพบเหตุการณ์ที่คนใกล้ชิดเสียชีวิตได้บ่อย ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่ง ลูกๆ ต้องออกจากบ้านไปเรียน แต่งงาน หรือทำงานที่อื่น ทำให้พ่อหรือแม่เกิดความรู้สึกเหงา หรือเศร้า ไม่รู้จะทำอะไร รู้สึกตัวเองไม่มีค่า ทำให้คนที่ปรับตัวไม่ได้ อาจเกิดโรคซึมเศร้าตามมาได้เรียกว่าปรากฏการณ์ “Empty-nest syndrome”
แนวทางการจัดการกับวิกฤติวัยกลางคน
(1) เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งสำคัญแรกสุดคือ เราต้องเข้าใจภาวะนี้ก่อนว่าคืออะไร เมื่อรู้จักก็จะช่วยให้เรารู้ตัวและนำไปสู่การจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสมต่อไป
(2) การคิดทบทวนประเมินชีวิตของตัวเอง และอยากที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
บางครั้งอาจเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ แต่ที่มักทำให้เกิดปัญหาคือการตัดสินใจอย่างหุนหัน ในเรื่องที่สำคัญเช่น หย่า ลาออก การใช้เงินจำนวนมาก ฯลฯ จนเกิดความเสียหายตามมา ดังนั้น ทุกการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิต ควรต้องให้เวลาในการคิดไตร่ตรองอย่างรอบครอบ และปรึกษาผู้อื่นเสมอ จะช่วยให้เรามองเห็นว่า สิ่งที่เราจะทำมันสมเหตุสมผลแค่ไหน เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด
(3) ออกไปสู่สังคม
เราก็จะพบว่า เราไม่ใช่คนที่แย่ที่สุด มีหลายคนที่อาจชื่นชมเราอยู่ แม้เราอาจไม่ประสบความสำเร็จตามที่ฝัน แต่ก็เชื่อได้ว่าทีผ่านมา เราก็ประสบความสำเร็จมาระดับหนึ่ง ไม่แน่นะวิถีชีวิตที่เราดำเนินมาอาจดีกว่าวิถีชีวิตที่เราฝันไว้ก็เป็นได้
(4) ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายจะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเป็นโรคซึมเศร้าได้ ยิ่งวัยนี้เป็นวัยที่ตามธรรมชาติสุขภาพจะเริ่มเสื่อมลง และเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย การออกกำลังกายจึงเป็นเรื่องสำคัญและมีประโยชน์อย่างมาก การออกกำลังกายนอกจากจะดีต่อสุขภาพ ยังดีต่อการทำงานด้วย เพราะการออกกำลังกาย อย่างเช่น การวิ่ง จะทำให้เราอยู่กับตัวเอง มีสมาธิ หลายๆ ครั้ง เรามักจะมีความคิดดีๆ หรือคิดคำตอบของปัญหาได้ตอนวิ่ง และหากเป็นการวิ่งระยะไกล จะเป็นการฝึกการวางแผน ฝึกวินัย ฝึกความมอดทน และทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า
(5) หากิจกรรมทำทดแทน
เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในกรณี “รังที่ว่างเปล่า” เพราะนั่นคือการที่เราเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่ทำงาน “ดูแลลูก” กลายเป็นผู้ “ว่างงาน” ลูกไม่อยู่ให้ดูแลแล้ว ดังนั้น จึงต้องหากิจกรรมอื่นทำทดแทนงานเดิม เพื่อไม่ให้เบื่อและเศร้า โดยกิจกรรมนั้นอาจจะเป็นการออกกำลังกาย การไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง การเข้าร่วมชมรมต่างๆ หรือทำงานการกุศล เป็นต้น
สุดท้าย อย่างที่อาจารย์หมอบอกนะครับ “วิกฤติวัยกลางคน” เป็นเรื่องปกติ หากใครมีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ ก็ไม่ต้องกังวลมากไป แค่เรียนรู้วิธีจัดการกับความรู้สึกครับ