หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid-Cap และ Small-Cap) มักมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจากมีโอกาสเติบโตสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap) ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กก็มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่เช่นกัน เนื่องจากการได้รับความสนใจจากนักลงทุนน้อยกว่า ทำให้มีสภาพคล่องต่ำกว่า และอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัทมากกว่า

ความน่าสนใจของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก มีดังนี้

โอกาสเติบโตสูง

หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมักมีฐานกำไรที่ต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้มีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่าในระยะยาว หากบริษัทสามารถเติบโตได้ตามแผน ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะสูงตามไปด้วย

มูลค่าที่ต่ำกว่า

หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมักมีมูลค่าที่ต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

โอกาสในการค้นพบหุ้นที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมักมีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หากบริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้

เสน่ห์หุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก

ฐานกำไรสุทธิของแต่ละบริษัทยังต่ำ ทำให้อัตราการเติบโตสูงกว่าบริษัทใหญ่ที่มีฐานกำไรมาก 

ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ทำกำไรสุทธิได้ปีละ 50 ล้านบาท ถ้าทำได้เพิ่ม 10 ล้านบาท จะเติบโต 20% แต่บริษัท B ทำกำไรสุทธิได้ปีละ 100 ล้านบาท ถ้าทำได้เพิ่ม 10 ล้านบาทเท่ากัน จะเติบโตเพียง 10% หากสมมติให้หุ้นของ 2 บริษัท ซื้อขายที่ P/E Ratio เท่ากัน ราคาหุ้น A จะปรับตัวขึ้น 20% ต่อปี ในขณะที่บริษัท B จะปรับตัวขึ้นเพียง 10% ต่อปีเท่านั้น

งบการเงินไม่ซับซ้อน 

เพราะยังไม่ใหญ่พอที่จะแตกธุรกิจออกเป็นบริษัทย่อย ทำให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องหรือข้อสงสัยในงบการเงินได้ง่ายกว่าบริษัทใหญ่ 

ธุรกิจเข้าใจง่าย

เพราะส่วนใหญ่ทำธุรกิจหน้าเดียว ไม่หลากหลาย เลือกโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองถนัด ทำให้เข้าใจในลักษณะการประกอบธุรกิจได้ไม่ยาก

ผู้บริหารเป็นกันเอง

ทำให้ได้ข้อมูลแนวโน้มธุรกิจที่ชัดเจนกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ถ้าสังเกตจากกิจกรรม Opportunity Day (บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน) จะเห็นได้ชัดว่าผู้ให้ข้อมูลบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมักเป็นเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูง แต่บริษัทใหญ่จะเป็นฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์หรือผู้บริหารในระดับรองลงมา

บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กส่วนใหญ่อยู่ใน Growth Stage

ซึ่งเมื่อจัดตั้งธุรกิจได้สักพักแล้วอยากยกระดับการเติบโต ก็มักจะต้องระดมทุนครั้งใหญ่ผ่านการกู้ยืมหรือหาหุ้นส่วนเพิ่ม หรือขายหุ้น IPO เพื่อระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งถ้าบริษัทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจได้ถูกต้อง กำไรสุทธิจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และถ้านักลงทุนวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้วเข้าไปลงทุนในช่วงเติบโตสูง ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนในรูปแบบ Capital Gain มากกว่าการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ที่กว่าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ส่วนมากจะเข้าสู่ช่วงท้ายๆ ของวงจรธุรกิจแล้ว

มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่

แม้ผลตอบแทนระยะยาวจะไม่ต่างกันมากนัก แต่ในช่วงที่สภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินอยู่ในระดับสูง เช่น ปี 2558 - 2560 หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ ถ้านักลงทุนจับจังหวะได้ดีและสามารถเลือกลงทุนได้ถูกบริษัท ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้อย่างน่าประทับใจ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด เพื่อประเมินโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยอาจพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

- ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น ผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน และแผนธุรกิจ

- อุตสาหกรรมของบริษัท เช่น แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม และการแข่งขันในตลาด

- ปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัท เช่น ผู้บริหาร สินค้าหรือบริการ และกลยุทธ์ทางการตลาด

นอกจากนี้ นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงการลงทุน โดยลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายตัว เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป หรือสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก

กองทุนรวมแอสเซทพลัส สมอล แอนด์ มิด แคป อิควิตี้ (ASP-SME) (บลจ.แอสเซท พลัส)

ASP-SME มีนโยบายที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ โดยเน้นลงทุนหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีมาร์เก็ตแคปไม่เกิน 80,000 ล้านบาท

สำหรับปรัชญาการลงทุน ผู้จัดการกองทุนเชื่อในการวิเคราะห์จากพื้นฐาน (Bottom-Up Approach) และการเสาะหาบริษัทที่มีโมเดลการดำเนินธุรกิจและศักยภาพในการเติบโตด้วยราคาที่เหมาะสม, ตลาดยังไม่สามารถสะท้อนราคาที่แท้จริงของบริษัทได้ทั้งหมด จึงสามารถหาโอกาสการลงทุนที่ดีจากสภาวะตลาดต่าง ๆ ขณะเดียวกันการกระจายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานในช่วงวิกฤติได้

สำหรับผลการดำเนินงาน ASP-SME 1 มกราคม – 31 ตุลาคม 2566 ให้ผลตอบแทนรวม -0.49% ขณะที่ผลตอบแทนรวมเฉลี่ย (ต่อปี) 3 ปี และ 5 ปี ทำได้ 12.33% และ 10.72% ตามลำดับ

เหมาะกับใคร

1. นักลงผู้ลงทุนที่ต้องการมีการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในพอร์ตลงทุน

2. นักลงทุนที่มีสไตล์การลงทุนชอบหุ้นเติบโต

3. นักลงทุนที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตลงทุนโดยรวม

ทำไมต้องลงทุน

1. เพิ่มโอกาสผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่และโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดด

2. มีโอกาสในการลงทุนหุ้นที่มี Valuation น่าสนใจ เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่

3. หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีการเติบโตสม่ำเสมอ มีโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีขนาดใหฐ่และมั่นคงกว่า

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, บลจ.แอสเซท พลัส, Morningstarthailand

รูปภาพ

ที่มา : บลจ.แอสเซท พลัส

ที่มา : บลจ.แอสเซท พลัส