ปัจจุบัน มีหุ้นทั้งหมด 879 ตัวที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(MAI) ที่รอให้เหล่าบรรดานักลงทุน เข้าไปแสวงหาโอกาสในการลงทุนให้เงินเติบโตขึ้น

และคงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการลงทุน คือ “กำไร” หมายความว่า นักลงทุนต้องการเห็นราคาหุ้นที่ตัวเองซื้อปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถคาดเดาตลาดหุ้นได้แม่นยำตลอดเวลา ดังนั้น การลงทุนจึงมีโอกาส ทั้ง กำไรและขาดทุน ได้เสมอ

วันนี้ aomMONEY อยากจะชวนทุกคนมารู้จักหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นว่า การซื้อหุ้นแต่ละครั้ง “คุ้มค่า” มากน้อยแค่ไหน ด้วยการวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment) หรือ ROI กันหน่อยดีกว่า

ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) คืออะไร?

ROI คือ อัตราส่วนที่ใช้วัดจำนวนผลตอบแทน (หรือกำไร) ของการลงทุนที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับต้นทุนการลงทุน โดยคำนวณจากผลประโยชน์ (หรือผลตอบแทน) ของการลงทุนหารด้วยต้นทุนของการลงทุน

โดยมีสูตรคำนวณ คือ ROI = (ราคาปิดของหุ้น + มูลค่าเงินปันผลต่อหุ้น + มูลค่าเงินคืนทุนต่อหุ้น) ÷ ราคาปิดวันก่อนหน้าของหุ้น

เมื่อ ROI เป็นการวัดผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเมื่อเทียบกับเงินต้นที่ลงทุน ดังนั้น หุ้นที่ดีต้องมีค่า ROI เป็นบวก เพราะหมายถึงผลกำไรที่ได้รับหลังหักต้นทุนออกแล้ว ความหมายคือ

- ROI มากกว่าศูนย์ (0) คือ ลงทุนได้กำไร ยิ่ง ROI สูง หมายความว่า การลงทุนมีกำไรสูง

- ROI เท่ากับศูนย์ (0) คือ ลงทุนแล้วเท่าทุน

- ROI น้อยกว่าศูนย์ (0) คือ ลงทุนที่ขาดทุน ยิ่ง ROI ติดลบมากเท่าไหร่ หมายความว่า การลงทุนยิ่งขาดทุนมาก

แล้ว ROI ที่ดีควรอยู่ระดับไหน?

จากที่กล่าวเอาไว้เมื่อซื้อหุ้นไปแล้วก็ต้องการกำไร ยิ่งกำไรมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงนักลงทุนจะกำหนด ROI แตกต่างกันให้เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนของตัวเอง ซึ่งสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเสมอ คือ ความเสี่ยง

โดยเมื่อต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงนั้น ตามคำกล่าว High Risk, High (Expected) Return หรืออาจถตีความได้ว่าถ้าต้องการได้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ต้องทําใจเอาไว้ด้วยว่าการลงทุนจะมีโอกาสขาดทุนสูงด้วยเช่นกัน