หากพูดถึงการลงทุน โดยส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนจะนึกถึงสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งพันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หรือหุ้น และมีคนไม่น้อยที่กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์เหล่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนจากสินทรัพย์แต่ละชนิดมากขึ้น แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแทบทุกสินทรัพย์ที่กล่าวมานั้นโดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุน “ในประเทศ”

ไม่มีอะไรผิดเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ แม้จะกระจายการลงทุนได้ดีแค่ไหน แต่หากจำกัดสินทรัพย์ที่ลงทุนให้อยู่เฉพาะในประเทศเพียงอย่างเดียว นักลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้หากประเทศที่เรานำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนมีปัญหาขึ้นมา เช่น หากเรานำเงินส่วนใหญ่ลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ภายในประเทศไทย จะเกิดอะไรขึ้นหากประเทศเราไม่น่าลงทุนในสายตาของต่างชาติ หรือความน่าดึงดูดใจทางการลงทุนไม่อาจสู้ประเทศเกิดใหม่ได้อีกต่อไป? จะเกิดอะไรขึ้นหากประเทศคู่แข่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า? ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้นักลงทุนไทยหลาย ๆ คนเริ่มหาโอกาสจากการลงทุนในต่างประเทศกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย เช่น คนที่จะเริ่มต้นลงทุนในต่างประเทศได้โดยตรงอาจต้องใช้เงินหลักแสนบาท, มีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าปกติ, หาข้อมูลได้ยาก, หรือไม่มีเวลาติดตามข่าวสารจากต่างประเทศมากขนาดนั้น ทำให้การลงทุนในต่างประเทศถูกจำกัดอยู่ที่เพียงคนส่วนน้อย

แต่ข้อจำกัดเหล่านี้กำลังจะหมดไป เพราะการมาถึงของ StashAway บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคลล่าสุดที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ ด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ก็ได้

StashAway เป็นแพลตฟอร์มบริหารการลงทุน (Digital Wealth Management) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์      ที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนในกว่า 160 ประเทศทั่วโลกและเปิดให้บริการทั้งในมาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และ Dubai International Financial Centre ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  โดย StashAway ให้บริการบริหารพอร์ตการลงทุนต่างประเทศอัตโนมัติผ่านการลงทุนใน ETF ทั่วโลก

ETF (Exchange Traded Fund) เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับหุ้น  ETF ถูกออกแบบมาโดยล้อไปกับการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิงต่าง ๆ ทั้งดัชนีหุ้นต่างประเทศ ดัชนีหุ้นของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ตลาดพันธบัตร ตลาดตราสารหนี้ชั้นดี ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ฯลฯ นั่นแปลว่าคนทั่วไปก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกได้ผ่านการซื้อ ETF เช่นกัน หากอยากลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ก็ไม่จำเป็นต้องกว้านซื้อหุ้นหลาย ๆ ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯด้วยตัวเอง แต่สามารถซื้อหุ้นทุกตัวใน ETF เพียงตัวเดียวได้     หรือถ้าอยากลงทุนในน้ำมัน ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดสถานะในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า นักลงทุนสามารถซื้อ ETF ของน้ำมันได้ไม่ต่างอะไรกับซื้อหุ้นตัวหนึ่งเลย

แต่ ETF ในโลกนี้ก็มีให้เลือกเป็นร้อยเป็นพันกอง การจะติดตามว่าตอนนี้ควรซื้อ ETF ตัวไหน ซื้อเท่าไหร่ กระจายการลงทุนอย่างไร จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักลงทุนเต็มเวลา หรือต่อให้เป็นนักลงทุนเต็มเวลา แต่ละคนก็มีเวลาในการอ่านข้อมูลข่าวสารหรือติดตามตลาดทั่วโลกที่จำกัด ดังนั้น StashAway จึงเป็นผู้ทำหน้าที่คอยจัดสรรเงินของนักลงทุนให้กระจายไปยัง ETF แต่ละประเภทอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด     และคอยบริหารให้เหมาะกับทุกสภาวะเศรษฐกิจตลอดเวลา โดยที่นักลงทุนแทบไม่ต้องทำอะไรเลยครับ

วิธีการลงทุนกับ StashAway ก็คือ นักลงทุนสามารถเลือกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยมีระดับความเสี่ยงให้เลือกมากถึง 12 ระดับ เรียกว่า StashAway Risk Index (SRI) โดยมีระดับความเสี่ยงตั้งแต่ 6.5% ถึง 36%  หากนักลงทุนเลือก SRI ที่ 14% มีความหมายว่านักลงทุนจะมีโอกาสเพียง 1% ที่จะขาดทุนเกิน 14% ได้ในแต่ละปี ดังนั้น ข้อดีของการเลือกระดับความเสี่ยงแบบนี้ ทำให้นักลงทุนสบายใจได้ว่ามีโอกาสน้อยมากที่พอร์ตจะติดลบเกิน SRI ที่เราเลือกไว้นั่นเอง

นอกจากระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถเลือกได้ด้วยตัวเองแล้ว  StashAway ยังแบ่งพอร์ตการลงทุนออกได้เป็น 2 ประเภทคือ

1) General Investing : ลงทุนให้เงินงอกเงยระยะยาว พอร์ตการลงทุนลักษณะนี้คือพอร์ตที่ลูกค้าสามารถเลือกระดับความเสี่ยงได้ด้วย StashAway Risk Index (SRI)

2) Goal-based : ลงทุนตามเป้าหมายทางการเงิน พอร์ตการลงทุนนี้ลูกค้าก็สามารถเลือกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เช่นเดียวกับพอร์ตการลงทุนแบบแรก แต่สิ่งที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างก็คือ ทาง StashAway จะมีระบบที่คอยวางแผนการเงินให้มีความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงิน ความสามารถในการรับความเสี่ยง และระยะเวลาของเป้าหมาย เช่น หากผู้ลงทุนมีอายุ 25 ปีและต้องการลงทุนซื้อบ้านในอีก 5 ปี ระบบของ StashAway จะเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นหลักก่อน เพราะอยู่ในช่วงที่รับความเสี่ยงได้มากและยังมีเวลาให้พอร์ตรับมือกับความผันผวน แต่หากเริ่มเข้าใกล้ปีที่ต้องใช้เงินเพื่อซื้อบ้านแล้ว ระบบก็จะปรับพอร์ตให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น เรียกได้ว่ามีบริการวางแผนการเงินคอยติดตามพอร์ตการลงทุนของเราตลอดเวลา

ส่วนเรื่องการลงทุนนั้น StashAway จะนำเงินไปกระจายการลงทุนผ่าน ETF ประเภทต่างๆ ทั่วโลก แต่การกระจายการลงทุนนี้ไม่ใช่แค่การกระจายความเสี่ยงธรรมดา เพราะ StashAway จะจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Regime) ที่เป็นอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย หากสมมติเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกำลังฟื้นตัว ระบบของ StashAway จะจัดสรรเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นของประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา หรือประเทศในแถบยุโรป แต่ถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังแย่ ระบบก็จะให้น้ำหนักกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากกว่า เช่น สินทรัพย์ในกลุ่มตราสารหนี้ หุ้นกู้ของบริษัทชั้นดี หรือหุ้นที่มีความมั่นคงสูง (defensive stock )เพื่อสร้างผลตอบแทนและควบคุมความเสี่ยงตามแผนที่นักลงทุนเลือกไว้

นั่นเท่ากับว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือก ETF เพื่อลงทุนด้วยตัวเองเลย เพราะ StashAway เป็นผู้จัดสรรเงินลงทุนและติดตามข้อมูลแทนนักลงทุนอย่างใกล้ชิด บริหารด้วยกลยุทธ์การลงทุนอัจฉริยะ ERAA™ ที่วิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอเพื่อตัดสินใจลงทุน (Data-driven) ไม่ใช้อารมณ์ มีการปรับพอร์ตโฟลิโอตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อบริหารเงินทุนให้มีประสิทธิภาพที่สุด

ด้วยบริการทั้งหมดนี้ รู้หรือไม่ว่าความพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้แตกต่างคือค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการต่อปีนั้นอยู่ที่เพียง 0.2% ถึง 0.8% โดยค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการต่อปีนั้น จะรวมค่าธรรมเนียมจบครบในก้อนเดียว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีค่าธรรมเนียมแฝง โดยรวมทั้งค่าธรรมเนียมซื้อ-ขาย ค่าธรรมเนียมโอนเงินไป-กลับต่างประเทศ และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว และข้อสำคัญคือ นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนกับ StashAway ด้วยเงินทุนเท่าไหร่ก็ได้ “ไม่จำกัดเงินลงทุนขั้นต่ำ”  เพราะ StashAway เชื่อว่าโอกาสในการลงทุนผ่านสินทรัพย์ชั้นดีทั่วโลกควรเป็นของทุกคน

StashAway จึงทำให้นักลงทุนได้พอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ทั่วโลกและสามารถควบคุมความเสี่ยงได้จริงอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญคือได้พอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับตัวเอง รวมถึงยังมีคนคอยช่วยปรับพอร์ตและบริหารจัดการพอร์ตอย่างใกล้ชิด เสมือนมีผู้จัดการกองทุนส่วนตัวคอยดูแลตั้งแต่ต้นจนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน

ณ​ เดือนมกราคม ปี 2564 StashAway มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 3 หมื่นล้านบาท ให้บริการและได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และ Dubai International Financial Centre ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำหรับในประเทศไทยเอง StashAwayได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stashaway.co.th หรือสอบถามได้ที่ช่องทาง Facebook : https://www.facebook.com/StashAwayTH ,ทาง Line Official Account ที่ @stashaway, หรือทางอีเมลที่ support@stashaway.co.th

หรือหากใครต้องการลงทุน ก็สามารถเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่นของ StashAway ได้เลย

นับเป็นประตูสู่การลงทุนในตลาดต่างประเทศสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial