ถ้าเราย้อนกลับไปปีที่แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนทั่วโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ มีความผันผวน โดยถ้าดูตลาดหุ้นก็ถือว่าอยู่ในสภาวะตลาดหมี (Bear Market) หมายความว่า ตลาดมีการปรับลดลงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหลักๆ มาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคาดการณ์, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความกังวลต่อเศรษฐกิจที่ถดถอยที่กำลังจะมา

และถ้าพูดถึงภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก จะเห็นได้ว่า ในช่วงเริ่มต้นปี ตลาดมีการปรับตัวขึ้นสูง แต่สุดท้ายปิดปีด้วยการปรับลงอย่างมาก เนื่องจากภาพเศรษฐกิจ ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากจนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง การเกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมถึงราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสำคัญกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2023 โดยถ้าออกมาต่ำกว่าคาดก็อาจส่งผลเชิงลบต่อตลาดเช่นกัน

สำหรับภาวะตลาดหมี โดยปกติแล้วเมื่อตลาดหุ้นปรับลงก็มักจะเด้งฟื้นคืน เช่น ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงและจะทำให้เฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงกลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคมถึง 18.1% แต่หลังจากอัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องก็ทำให้นักลงทุนผิดหวัง และตลาดหุ้นปรับลดลงถึง 25.4% จากจุดสูงสุด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน จากความคาดหวังว่าเฟด จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนที่จะปรับลงอีกในช่วงสิ้นปีจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปีนี้ ข้อมูลจาก บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่าการเติบโตเศรษฐกิจและกำไรของสหรัฐค่อนข้างอ่อนแอ โดยมีนโยบายการเงินที่ตึงตัวและความเชื่อมั่นที่ลดลงตามความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่สูงขึ้น โดยคาดว่าวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะจบในไตรมาส 2 ปีนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง แต่ภาพการเติบโตมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

คำแนะนำการลงทุนสำหรับปี 2023

ถ้าสนใจตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา นักลงทุนควรระมัดระวังเพิ่มขึ้นด้วยการเน้นหุ้นกลุ่มเชิงรับ หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคา หุ้นไม่ผันแปรกับปัจจัยภายนอกมากนัก

ด้านตลาดหุ้นยุโรป ประเมินว่าเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้ยังไม่สดใส และถ้าสงครามรัสเซียกับยูเครนยืดเยื้อ ทำให้วิกฤติพลังงานยังไม่คลี่คลาย อาจทำให้เศรษฐกิจยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงประเมินว่าความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้น ถ้าสนใจหุ้นยุโรปควรเน้นหุ้นเชิงรับที่มีรายได้ในยุโรปในสัดส่วนที่สูง สถานะการเงินแข็งแกร่ง มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง จ่ายเงินปันผลดี

สำหรับตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่าจะเป็นปีที่ดีของตลาดจีนและเอเชีย โดยได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีน การฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและกำไร ซึ่งสามารถลดผลกระทบจากการผลิตที่ชะลอตัวลงในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ดังนั้น ถ้าสนใจลงทุนควรเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองของจีนและการบริโภคภายในประเทศ

สุดท้ายนี้ ทุกคนต้องไม่ลืมว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” และ “การกระจายการลงทุน” เป็นสิ่งสำคัญ แม้จะชอบการลงทุนในหุ้น ก็ไม่ควรที่จะลงทุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้นประเทศใดประเทศหนึ่ง และในพอร์ตโดยรวมก็ไม่ควรถือครองหุ้น 100% ควรจะกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ บ้าง เช่น ตราสารหนี้ หรือ ทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ตลงด้วย