ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนหลายคนคงเจอกับภาวะ “ซื้อหุ้นแล้วราคาปรับลดลง” ถ้านักลงทุนเน้นลงทุนระยะยาวคงสามารถถือต่อไปได้ แต่ถ้าเน้นลงทุนระยะสั้นๆ และประเมินแล้วไม่แน่ใจว่าราคาจะปรับขึ้นเมื่อไหร่ก็อาจตัดสินใจขายหุ้น (Stop Loss)
คำถามคือ ถ้าประเมินว่า ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนจนรู้สึกวิตกกังวลว่าจะส่งผลต่อพอร์ตลงทุน กลยุทธ์ลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจกับการลดความเสี่ยง คือ การมองหาหุ้นที่มีความปลอดภัย และหุ้นที่เป็น Safe Haven ในช่วงตลาดผันผวน นั่นก็คือ หุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Dividend Stock)
โดยหุ้นปันผลที่จะเลือกลงทุนนั้น ควรมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนที่ดี เช่น มากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ และเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าปกติ (Defensive Stock) คือ เน้นรับผลตอบแทนการลงทุนจากเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราปันผลตอบแทนโดยรวมของตลาด และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล
ข้อสังเกตในเบื้องต้น จะพบว่า หุ้นไหนที่ “ไม่ใช่หุ้นปันผล” เมื่ออยู่ในภาวะวิกฤติ ตลาดผันผวน “ราคาหุ้น” จะปรับลดลงต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นหุ้นปันผล ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับลดลงแต่จะมีเบาะมารองรับราคาที่ปรับลดลงมา โดยเบาะรองรับ คือ ระดับอัตราเงินปันผลตอบแทน
สำหรับการลงทุนในหุ้นปันผลนั้น นอกจากจะต้องเช็กความสม่ำเสมอของการจ่ายเงินปันผลในอดีตแล้ว ยังจะต้องให้ความสำคัญกับมูลค่า (Valuation) ด้วย เพราะหุ้นที่ปันผลสม่ำเสมอ แต่มีราคาแพงอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะเงินปันผลที่ได้รับมาอาจไม่คุ้มกับราคาหุ้นที่อาจปรับตัวลดลงในอนาคต
ในเบื้องต้น นักลงทุนสามารถใช้ค่า P/E Ratio หรือ P/BV Ratio ประกอบการตัดสินใจได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามจะต้องดูอัตราส่วนทางการเงินตัวอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ถ้าวัดมูลค่าด้วยค่า P/BV Ratio จะต้องนำอัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) มาดูประกอบ
โดยเฉพาะค่า ROE ที่สูง แสดงให้เห็นว่าหุ้นตัวนี้ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในระดับที่สูง และยิ่งถ้าค่า ROE สูงกว่าต้นทุนทางการเงินของบริษัท หรือที่เรียกว่า Weighted Average Cost of Capital (WACC) มากเท่าไหร่ ค่า P/BV Ratio ก็จะยิ่งมีค่าสูง เพราะถือว่าหุ้นตัวนี้สร้างผลตอบแทนโดดเด่นให้กับผู้ถือหุ้นมาก
สำหรับข้อมูลที่ลืมไม่ได้ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นปันผล บล.บัวหลวง ได้ระบุว่า นักลงทุนควรพิจารณาอัตราการเติบโตของเงินปันผล (Dividend Growth Rate) ซึ่งเป็นอัตราร้อยละต่อปีของการเติบโตที่เงินปันผลของหุ้น ได้รับในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากบริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลายแห่งจะพยายามเพิ่มเงินปันผลที่จ่ายให้กับนักลงทุนอยู่เสมอ ทำให้การทราบอัตราการเติบโตของเงินปันผลถือเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการประเมินมูลค่าหุ้นอีกด้วย โดยสามารถคำนวณได้จากสูตร
อัตราการเติบโตของเงินปันผล = (เงินปันผลต่อหุ้นในปีนี้ ÷ เงินปันผลต่อหุ้นในปีก่อนหน้า) -1
- อัตราการเติบโตของเงินปันผล มากกว่า 0 หมายถึง บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มมากขึ้น
- อัตราการเติบโตของเงินปันผล น้อยกว่า 0 หมายถึง บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลที่ลดน้อยลง
และนี่คือ 10 หุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีอัตราการเติบโตของเงินปันผลเฉลี่ยสูงที่สุด (ปี 2561-2565)
1. Cigna Corp. (IC)
ROE = 14.31%
P/BV Ratio = 2.09 เท่า
D/E Ratio = 0.62 เท่า
2. Radian Group (RDN)
ROE = 19.36%
P/BV Ratio = 0.89 เท่า
D/E Ratio = 0.42 เท่า
3. Princeton Bancorp (BPRN)
ROE = 11.93%
P/BV Ratio = 0.95 เท่า
D/E Ratio = 0.08 เท่า
4. Cal-Maine Foods (CALM)
ROE = 40.84%
P/BV Ratio = 2.03 เท่า
D/E Ratio = 0.00 เท่า
5. Global Payments (GPN)
ROE = 0.29%
P/BV Ratio = 1.34 เท่า
D/E Ratio = 0.54 เท่า
6. Advance Auto Parts (AAP)
ROE = 16.13%
P/BV Ratio = 3.22 เท่า
D/E Ratio = 1.27 เท่า
7. Voya Financial (VOYA)
ROE = 11.01%
P/BV Ratio = 1.61 เท่า
D/E Ratio = 0.76 เท่า
8. Hugoton Royalty Trust (HGTXU)
ROE = 0.00%
P/BV Ratio = 0.45 เท่า
D/E Ratio = 0.00 เท่า
9. CTO Realty Growth Inc (CTO)
ROE = 0.77%
P/BV Ratio = 0.96 เท่า
D/E Ratio = 0.72 เท่า
10. Bio-Techne Corp (TECH)
ROE = 17.22%
P/BV Ratio = 7.30 เท่า
D/E Ratio = 0.19 เท่า

Return on Equity (ROE)
เป็นอัตราส่วนที่บอกแนวโน้มการทำกำไรจากเงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น ถ้า ROE อยู่ในระดับ “สูง” แสดงว่า บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี ผู้บริหารสามารถจัดสรรเงินลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นได้สูง ทำให้มีโอกาสจ่ายเงินปันผลหรือราคาหุ้นขยับขึ้นได้
Price to Book Value Ratio (P/BV Ratio)
เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบราคาหุ้น กับมูลค่าทางบัญชีตามงบการเงินล่าสุดของบริษัท อัตราส่วนนี้บอกให้ทราบว่า ราคาหุ้น ณ ขณะนั้น สูงเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชี ถ้ามีค่า “สูง” แสดงว่า นักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทมีศักยภาพที่จะเติบโตสูง ขณะเดียวกันก็แสดงถึงระดับความเสี่ยงที่สูงด้วย
Debt to Equity Ratio (D/E Ratio)
เป็นอัตราส่วนยอดฮิตของนักลงทุน แสดงสัดส่วนการกู้หนี้ยืมสินว่าเป็นกี่เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น ถ้าอัตราส่วนนี้ “สูง” มีโอกาสที่กิจการจะไม่สามารถชำระดอกเบี้ย จนอาจถูกฟ้องล้มละลายได้ เนื่องจากการมีภาระหนี้สินที่สูง
ที่มา : dividend.com, morningstar.com, finance yahoo.com (ข้อมูล ณ 21 มกราคม 2566)
หมายเหตุ: หุ้นทั้ง 10 ลำดับเป็นหุ้นที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกา