สวัสดีครับ กลับมาพบกับผม “ยอดมนุษย์กองทุน” นักลงทุนรุ่นใหม่หน้าตาดี วันนี้มีเวลามาสรุปประเด็นดีๆ จากรายการกองทุนไหนดีซึ่งครั้งนี้เป็นเทปพิเศษ! อีกแล้วครับ กับเทปกองทุนไหนดี Special Interview ที่เราเพิ่ง On-air กันไปเมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2561 นี้เองครับ ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นเทปพิเศษมากๆ ครับ เพราะว่าเราได้รับเกียรติจากทางโค้ชเบอร์หนึ่งด้านกองทุนรวมอย่าง “คุณวศิน วณิชย์วรนันต์” ประธานกรรมการบริหาร จาก KAsset ที่มาช่วยแชร์แนวคิด ประสบการณ์ในการลงทุน พร้อมกับแนะนำแอปดีๆ อย่าง K-My Funds ให้พวกเราได้รู้จักกันครับผม

เริ่มจากเรื่องแรกก่อนคือ คุณวศินแนะนำว่าเดี๋ยวนี้คนเรามีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น มีความรู้มากมายหลากหลายให้ได้ค้นหามากขึ้น แต่ถ้าหากเราไม่รู้จักการลงทุนแล้วล่ะก็บอกได้เลยว่าเป็นข่าวร้ายแน่นอนครับ เพราะทุกวันนี้การลงทุนจำเป็นมากๆ 

“ดังนั้นคนในยุคใหม่นี้ต้องมี สุขภาพที่ดี ความรู้ที่ดี และการลงทุนที่ดีประกอบกันครับ”

ทีนี้เราจะลงทุนดีๆ ได้อย่างไร? แน่นอนว่าพื้นฐานต้องมีความรู้ที่ดี แต่ปัญหาคือ “ความสามารถในการตัดสินใจ” มากกว่าที่จะช่วยทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จนั่นเองครับ

คุณวศินได้ยกตัวอย่างการลงทุนที่มักไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสามารถในการตัดสินใจ เพราะมนุษย์มักจะกลัวความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น เช่น เมื่อเห็นหุ้นตัวสีเขียวก็เริ่มไล่ซื้อ พอลงเป็นสีแดงก็เริ่มขายทิ้ง ทั้งๆ ที่อาจจะลงชั่วคราวก็ได้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด จึงจำเป็นที่ต้องมองเชื่อมโยงไปในอนาคตและมีความสามารถในการตัดสินใจ บวกกับความรู้ความเข้าใจในการลงทุน มากกว่ามองแค่เหตุการณ์ในปัจจุบันอย่างเดียว 

นอกจากนั้นยังให้มุมมองของภาพรวมเศรษฐกิจว่าตอนนี้เป็นช่วงชะลอตัว (Late Cycle) เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีการเติบโตมาก ย่อมเกิดการชะลอเป็นธรรมดา ประกอบกับมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลุ่มหุ้นกู้ตราสารหนี้ต่างๆ ทำให้โอกาสของตลาดหุ้นเติบโตน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามคุณวศินแนะนำว่าการซื้อกองทุน ควรมีการพิจารณาอยู่ 3 จุดใหญ่ๆ คือ ลักษณะตลาด ลักษณะสินทรัพย์ และ Theme ของสินทรัพย์ที่เราไปลงทุน 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหุ้นขึ้นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กองที่ผันผวนต่ำๆ น่าจะเป็นพวก SET50 แต่กองที่ผันผวนสูงๆ แต่จะให้ผลตอบแทนสูง จะเป็นพวกหุ้นเล็ก (Midsmall) นั่นแปลว่าเราจะลงสินทรัพย์ประเภทเดียวไม่ได้ ต้องมีการจัดสรรทรัพย์สินอื่นๆ มาร่วมด้วย เพื่อไม่ให้ผันผวนจนเกินไป เช่น มีตราสารหนี้เข้ามาในพอร์ตการลงทุนบ้าง 

ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามเป้าหมายของการลงทุนว่าต้องการแบบไหน เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ตามเครื่องมือการคัดเลือกกองทุนของกสิกรไทยที่เรียกว่า Fund Navigator ที่แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ลงทุนระยะสั้น เสี่ยงน้อย ต้องการสภาพคล่อง (Liquidity), ลงทุนยาวขึ้น เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น (Stability), ลงทุนผันผวนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ (Income), หากกล้าเสี่ยง สามารถลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว (Growth) หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับสภาพตลาดก็ได้ (Opportunity) 

แต่ในบางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน บางเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ KAsset จึงมีการผสมสินทรัพย์ให้ เรียกว่าการทำ Asset Allocation ที่ผสมสัดส่วนการลงทุนให้ได้ในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งเป็นที่มาของแอปที่ช่วยในการจัดการลงทุนอย่าง “K-My Funds”

ในทางทฤษฎีความผันผวนในการลงทุนมักอยู่ในระยะสั้น และท้ายที่สุดจะกลับไปสู่ราคาที่เหมาะสมของสินทรัพย์นั้นเอง ซึ่งโดยปกติระยะเวลาที่ว่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 3 ปีขึ้นไป KAsset จึงจัดพอร์ตการลงทุนและทดสอบข้อมูลย้อนหลังจำนวนมาก ตั้งแต่ปี 2007-2017 โดยสมมติให้มีการถือครอง 3 ปี ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และมีความผันผวนต่อผลตอบแทน กลายเป็นโมเดลพอร์ตการลงทุนที่ผสมสินทรัพย์ที่หลากหลายออกมาเป็น 4 รูปแบบ ซึ่งแตกต่างกันที่ระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต้องการ ซึ่งปรากฏว่าโมเดลพอร์ตการลงทุนสามารถทำผลตอบแทนได้ตามดัชนีชี้วัด ได้แก่ กองทุน K-FITS จะได้ 3.0%, K-FITM จะได้ 5.5%, K-FITL จะได้ 7.5% และ K-FITXL จะได้ 10% ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้พอร์ตเหล่านี้เป็นไกด์ไลน์ได้ครับ

คำเตือน : กองทุน K-FIT มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ 

KAsset มองว่าโมเดลการลงทุนนี้ ผู้ลงทุนเพียงตอบคำถามให้ได้ 2 เรื่อง นั่นคือผลตอบแทนที่ต้องการเท่าไร และสามารถลงทุนได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้คือ 3 ปีหรือเปล่า หากนักลงทุนสามารถถือกองทุนได้ 3 ปีขึ้นไป และถือตามพอร์ตที่เราแนะนำ ก็สามารถได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าถึงเวลาปรับพอร์ตหรือยัง เพราะแอปจะคอยแจ้งเตือน และปรับให้อย่างเหมาะสม ซึ่งคล้ายๆ กับการใช้บริการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) กันเลยทีเดียวล่ะครับ

ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างหน้าตาของ K-My Funds กันบ้างครับ

K-My Funds ทำหน้าที่เหมือนโค้ชที่ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น สามารถเรียนรู้ไปกับแอปได้ว่าทำไมถึงเลือกกองต่างๆ มาจัดสรรเป็นพอร์ตการลงทุนและมีการปรับสัดส่วนการลงทุนให้กับเรา ซึ่งการปรับสัดส่วนเหล่านี้จะมีทีมงานที่เชี่ยวชาญมาคอยดูแลอยู่เสมอ มองเหมือนเป็นโค้ชที่ช่วยให้นักลงทุนนั้นลงทุนได้ง่ายขึ้น

ถ้าใครมีบัญชีกองทุนกสิกรไทยแล้ว สามารถลงทะเบียนใช้งานได้เลย โดยใช้เพียงเลขที่บัญชีกองทุน เลขที่บัตรประชาชน และเลขที่บัญชีธนาคารรับค่าขายคืนเท่านั้น แต่ถ้ายังไม่มีต้องไปเปิดบัญชีกองทุนก่อน และสมัครใช้งานแอปได้ในวันทำการถัดไป

หลัง log in เข้าใช้งาน แอปจะแสดงหน้าตาพอร์ตการลงทุนของเราไว้ว่าปัจจุบันมีพอร์ตการลงทุนแบบไหนและลงทุนในอะไรบ้าง นอกจากนั้นยังสามารถเข้าไปกดดูรายละเอียดของกองทุนที่ถืออยู่และผลตอบแทนจากการลงทุน ว่าพอร์ตทั้งหมดของเราให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรได้เลยครับ

 

ถ้าเปรียบเทียบกับการลงทุนปกติ เราจะมี Fund Manager ดูแลจัดการพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันให้เอาชนะตลาด แต่สำหรับ K-My Funds จะมีการจัดพอร์ตแนะนำ 4 แบบ โดยเพิ่มมุมมองของ Chief Investment Officer ที่ช่วยคาดการณ์อนาคตไปอีก 3-4 ปีข้างหน้าเพื่อให้เลือกสินทรัพย์ลงทุนที่ดีที่สุดควบคู่กับความผันผวนที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังมี Risk Management ที่มาดูเรื่องการเลือกสินทรัพย์เพื่อมาเป็นตัวแทนสินทรัพย์นั้นๆ ผสมสัดส่วนโดยใช้ Big Data ดูว่าสัดส่วนไหนดีที่สุดจะได้รับผลตอบแทนตามที่นักลงทุนต้องการในแต่ละกลุ่มการลงทุนอีกด้วยครับ

ซึ่งสามารถเปรียบเทียบการลงทุนของเรา กับพอร์ตแนะนำหรือเส้น FIT Line เพื่อให้รู้ว่าสถานะการลงทุนของเราตอนนี้สูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็นแค่ไหน โดย FIT Line คำนวณจากพอร์ตการลงทุนแนะนำที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์ตัวแปรต่างๆ ของทาง KAsset มาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้แก่ การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ การประเมินผลตอบแทนและความผันผวนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ และค่าต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดในระดับความผันผวนต่ำที่สุดครับ ซึ่งถ้าหากพอร์ตการลงทุนของเราอยู่เหนือเส้น FIT Line อยู่ก็แปลว่าเป็นพอร์ตการลงทุนที่ใช้ได้ แต่ก็ต้องระวังว่าอาจจะถือสินทรัพย์ที่เสี่ยงจนเกินไป มากกว่าที่ FIT Line แนะนำ มีความเสี่ยงที่จะตกลงมาได้เหมือนกันครับ

คำเตือน : Fit Line และพอร์ตลงทุนแนะนำที่นำเสนอ เป็นเพียงรูปแบบการลงทุนเพื่อให้ท่านพิจารณาเท่านั้น ผลตอบแทนที่ได้รับจริงอาจมากกว่าหรือน้อยกว่าผลตอบแทนจากพอร์ตแนะนำได้

แต่ไม่ต้องกังวล เพราะ K-My Funds จะมีระบบแจ้งเตือนในแอปทันทีเมื่อมีสัดส่วนการลงทุนที่เสี่ยงเกินกว่า FIT Line แนะนำ โดยที่เราไม่ต้องรอไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพราะมันเป็นการแจ้งเตือน Notification ซึ่งสะดวกกับการปรับพอร์ตได้ทุกที่ทุกเวลาเลยล่ะครับ

อีกฟีเจอร์หนึ่งที่น่าสนใจของแอปนี้นะครับ นั่นก็คือFund Story เป็นเมนูที่เราสามารถใช้ค้นหาและดูข้อมูลกองทุน เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวราคา ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน ช่วยในการตัดสินใจครับ

โดย Fund Story จะแบ่งการแสดงผลกองทุน เป็น 2 ประเภท

1. By Asset Type (ตามประเภทสินทรัพย์)

2. By Objective (ตามเป้าหมายการลงทุน)

นอกจากนี้เมนู Fund Story ของแอป K-My Funds สามารถ Add Favorite กองทุนที่สนใจไว้ติดตามได้ด้วยนะครับ และยังสามารถเปรียบเทียบระหว่างกองทุน ได้อีกด้วย

จากที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมด เพื่อนๆ คงจะเห็นนะครับว่าแอป K-My Funds นี้เป็นแอปที่ช่วยในการจัดการลงทุนของนักลงทุนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร (ผลตอบแทน) และสามารถถือครองได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไหม (3 ปีขึ้นไป) โดยสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ตามที่ต้องการด้วยล่ะครับ ล่าสุดยังผ่านมาตรฐานให้บริการออกแบบการลงทุนตามหลัก “5 ขั้นมั่นใจลงทุน” เป็นเจ้าแรกจาก ก.ล.ต. อีกด้วย ซึ่งทางคุณวศินได้เน้นย้ำว่าการลงทุนในกองทุน K-FIT ทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจากการลงทุนตามปกตินะครับ เป็นเพียงการช่วยเหลือนักลงทุนให้สามารถลงทุนภายใต้เงื่อนไขและความต้องการที่ทาง KAsset ให้ไว้เป็นทางเลือกแก่นักลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดตามที่ต้องการเท่านั้นครับ เหมือนเป็น Digital Wealth Advisor ส่วนตัวเลยล่ะครับ

เอาล่ะครับ มาถึงตรงนี้ ถ้าหากใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอป K-My Funds หรือกองทุน      K-FIT ประเภทต่างๆ ก็สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >>> https://bit.ly/2xyW1RH

คำเตือน : ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

คลิกดูรายการได้กองทุนไหนดี Special Interview เทปนี้ได้ที่...

https://youtube.com/watch?v=3o1K1pifSmY%3Fwmode%3Dopaque