ย้อนกลับไปก่อนเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 กองทุนรวมที่เน้นลงทุนอุตสาหกรรมผู้ผลิตยา วัคซีน ร้านขายยา จำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ บริษัทวิจัยคิดค้นผลิตภัณฑ์ด้านยา เทคโนโลยีชีวภาพ ธุรกิจพัฒนาคุณภาพชีวิต ธุรกิจเพื่อสุขภาพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจแพทย์ ซึ่งกองทุนรวมประเภทนี้ เรียกรวมๆ ว่า กองทุน Health Care เป็นกองทุนที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก

ข้อสังเกตที่กองทุน Health Care ในประเทศไทยก่อนวิกฤติ COVID-19 ไม่ค่อยได้รับความนิยม คือ มีจำนวนกองทุนที่นำเสนอขายน้อยมาก โดยเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีเพียง 2 กองทุนเท่านั้น และเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 22 กองทุน จากปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 18 สิงหาคม 2566) ที่มีจำนวน 58 กองทุน จึงกล่าวได้ว่าปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่กระตุ้นให้กองทุนประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว คือ การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก

จากรายงานของ Deloitte พบว่าในช่วงปี 2556 - 2560 การเติบโตของกลุ่ม Healthcare อยู่ที่ประมาณ 2.9% ขณะที่ช่วงปี 2561 - 2565 เติบโตได้ถึง 5.4% เนื่องจาก ผู้คนทั่วโลกหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากสังคมผู้สูงอายุ โรคที่ไม่ติดต่อและเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคหัวใจ และยิ่งมีการระบาด COVID-19 ก็ทำให้กลุ่ม Healthcare เติบโตมากขึ้น เพราะผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและระมัดระวังการใช้ชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ การผลิตวัคซีนใหม่ๆ รวมไปถึงแนวการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานมากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้กองทุน Health Care ได้รับความนิยมมากขึ้น

สำหรับ บลจ.ไทย ที่ออกกองทุน Health Care ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ด้วยการเปิดเสนอขายกองทุนแล้วนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียว (Feeder Fund) ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยเรียกกองทุนนั้นว่า Master Fund นอกจากนี้อาจมีบางกองทุนที่ไปลงทุนกองทุนรวม Health Care ในต่างประเทศหลาย ๆ กองที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายๆ กัน (Fund of Fund)

สำหรับ การพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน นอกจากจะต้องเลือก Theme ตามกลุ่มหุ้นที่จะลงทุนว่าเป็นหุ้นที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกัน เช่น ถ้าสนใจหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ เวชภัณฑ์ยา ก็ต้องเลือกกลุ่ม Healthcare ยังต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะแต่ละกองทุนจะมีการลงทุนในแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกันหรือแต่ละประเทศ โดยวิธีเบื้องต้นในการพิจารณา คือ ศึกษารายละเอียดของกองทุน Master Fund

ตัวอย่างกองทุน Health Care ไทยที่นิยมไปลงทุนกองทุน Master Fund

1. Manulife Global Fund - Healthcare Fund

กองทุน Manulife Global Fund - Healthcare Fund บริหารโดย Manulife Investment Management เป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนหุ้นของบริษัทในกลุ่ม Health Care ได้แก่ กลุ่มเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องมือวิเคราะห์ทางการแพทย์ และการให้บริการทางการแพทย์ โดยหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ Eli Lilly, UnitedHealth Group, Novo Nordisk, AstraZeneca และ Thermo Fisher Scientific

2. JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund

กองทุน JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund บริหารโดย JPMorgan Asset Management (Europe) โดย 67% จะเน้นลงทุนในธุรกิจดูแลสุขภาพ เช่น ธุรกิจเวชภัณฑ์ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีทางการแพทย์และชีววิทยาศาสตร์ โดยหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ UnitedHealth Group, Eli Lilly, AstraZeneca, Johnson&Johnson และ Novo Nordisk

3. iShares Global Healthcare ETF

กองทุน iShares Global Healthcare ETF บริหารโดย BlackRock Asset Management โดยกองทุนนี้จะอ้างอิงดัชนี S&P Global 1200 Health Care Index ที่เป็นตัวแทนของ 108 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในธุรกิจเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพและเครื่องมือการแพทย์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ UnitedHealth Group, Johnson&Johnson, Eli Lilly, Novo Nordisk และ Merck & Co.

4. Janus Henderson Global Life Sciences Fund

Janus Henderson Global Life Sciences Fund บริหารโดย Janus Henderson Investors โดยจะเน้นลงทุนบริษัททั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences) หมายถึง ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น บริษัทวิจัย พัฒนา ผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลตัวเอง การแพทย์หรือเภสัชกรรม โดยหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ UnitedHealth Group, AstraZeneca, Eli Lilly, Merck & Co. และ Sanofi

5. Polar Capital Funds PLC - Biotechnology Fund

Polar Capital Funds PLC - Biotechnology Fund บริหารโดย Polar Capital เน้นลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวีภาพ การวินิจฉัยโรค และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตทั่วโลก โดยหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ Vertex Pharmaceuticals, Regeneron Pharmaceuticals, Biogen, Seagen และ AstraZeneca

ถึงแม้ว่าการลงทุนต่างประเทศจะเป็นการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก มีตัวเลือกหลากหลาย รวมถึงหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นจากผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่การลงทุนต่างประเทศก็มีความเสี่ยง ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน Master Fund ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เรากำลังจะลงทุนนั้น จะเป็นไปตามที่คาดหวังไว้