จัดว่าเป็นดีลช็อกโลกครั้งสำคัญสำหรับการซื้อกิจการ Whole Foods Market ห้างขายปลีกของสดเกรดดีเจ้าใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยเจฟฟ์ โบโซส์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Amazon เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยตัวเลขมหาศาลประมาณ 465,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะทำให้มูลค่าหุ้นของ Amazon ถีบตัวขึ้นมาอีก 3.5 % บวกกับมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 84,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วนั้น ก็ยังน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การจับจ่ายซื้อของบริโภคอุปโภคเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดที่สุด

การได้มาซึ่งกิจการของ Whole Foods Market ก็เท่ากับว่า Amazon ได้หน้าร้าน และคลังสินค้าขนาดใหญ่ และเมื่อนำมารวมกับความสามารถและเชี่ยวชาญในการจัดส่งของ เทคโนโลยี และข้อมูลลูกค้านับล้าน ก็คงทำให้ห้างร้านขายปลีกในอเมริกาแบบเดิมๆ ที่ยังต้องใช้แคชเชียร์ในการเก็บเงินทีละคนต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันบ้างและยังไม่นับ AmazonFresh อีกหนึ่งกองทัพที่ให้บริการในเรื่องการจัดส่งอาหารสดที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพราะมี Whole Foods Market เป็นสต็อกของสดที่มีสาขากว่า 400 สาขาทั่วสหรัฐฯ หมดห่วงเรื่องคุณภาพอาหารและความสดใหม่

อันที่จริงๆ ก่อนหน้านี้ Amazon ก็เริ่มทำ Amazon go ร้านค้าสะดวกซื้อนำร่องที่พยายามทำให้คนใช้เวลาในการจับจ่ายใช้สอยน้อยที่สุด คุณแค่ใช้แอพลิเคชัน เดินเข้ามาในร้าน หยิบของ แล้วก็กลับบ้านได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาในการต่อคิวหรือแม้แต่จะควักเงินในกระเป๋าด้วยซ้ำ

https://www.youtube.com/embed/NrmMk1Myrxc

ซึ่งทาง Amazon ก็จะยังคงให้ CEO ของ Whole Foods Market เป็นผู้บริหารงานต่อไป พร้อมกับยังยืนยันว่าจะยังไม่ยกเลิกระบบแคชเชียร์ แต่ถ้าดูจากในคลิปข้างบนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นระบบที่ว่าในอีกไม่ช้า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ คนที่ได้รับผลกระทบก็คือลูกจ้างที่ค่าจ้างอาจจะแพงกว่าเทคโนโลยีที่ทำได้มากกว่าในประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้

ดีลช็อกโลกกับ 3 สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการช็อปปิ้ง

1. การจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์จะสูงขึ้น

คนอเมริกาเกือบ 1 ใน 4 คุ้นเคยกับการซื้อของเข้าบ้านผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว และยิ่งเวลาผ่านไป แนวโน้มก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเทคโนโลยีที่พร้อมสรรพ และวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินทางและรอคิว แน่นอนว่าการเกิดขึ้นของดีลนี้ก็จะยิ่งเร่งปฏิกิริยาให้เกิดเร็วขึ้นไปอีก

2. ประสบการณ์ใหม่ๆ ในการช็อปปิ้ง

จริงอยู่ว่าการซื้อของออนไลน์ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดค่าเดินทาง แต่อย่างไรก็ดีห้างร้านก็ยังต้องการให้คนเข้ามาที่ร้านอยู่ดี เพื่อพบกับบรรยากาศและสิ่งเย้ายวนต่างๆ ที่จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสซื้อมากขึ้นกว่าที่ต้องการ ทำให้การรวมตัวของทั้งสองแบรนด์นั้นเป็นตัวส่งเสริมกันและกัน เพราะฝ่ายหนึ่งก็มีบรรยากาศของการช็อปปิ้ง อีกฝ่ายก็มีเทคโนโลยีที่จะขจัดบรรยากาศที่ไม่ดีออกไป

3. คุณไม่สามารถแอบซื้ออะไรได้อีก

ด้วยเทคโนโลยีที่ Amazon มีและอาจจะเสริมเข้าไปในระบบของ Whole Foods Market ทำให้พวกเขาสามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการช็อปปิ้งของคุณ ซื้ออะไร ซื้อเมื่อไหร่ คุณมองสินค้ายี่ห้อไหนมากกว่ากัน คุณใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกแค่ไหน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นี่เองที่จะทำให้พวกเขาสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้เฉียบขาดมากขึ้น และอาจใช้เป็นข้อมูลสำหรับขายแบรนด์สินค้าอีกต่อหนึ่งด้วย

แม้ว่าผลกระทบนี้คงยังไม่เกิดขึ้นในไทยเร็วๆ นี้ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนถึงฝั่งเจ้าของกิจการร้านค้าปลีกรวมถึงลูกค้าแบบเราๆ ที่ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

sources :

http://www.marketwatch.com/story/5-ways-the-amazon-whole-foods-deal-could-change-the-way-we-shop-2017-06-17
http://www.businessinsider.com/amazon-buying-acquiring-whole-foods-for-42-a-share-2017-6
https://www.forbes.com/sites/panosmourdoukoutas/2017/06/18/amazon-whole-foods-deal-is-bad-news-for-store-cashiers-and-the-fight-for-15-minimum-wage/#7f1a06f57513
https://www.facebook.com/WholeFoods/