ช่วงนี้ใครก็ไปญี่ปุ่น ไม่เว้นแม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้ร่ำรวยอันดับ 5 ของโลกและผู้บริหารบริษัทลงทุนชื่อดังอย่างเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ถึงแม้ว่าการไปเยือนของเขาไม่ใช่การท่องเที่ยวแต่เป็นการไปเยี่ยมชมและพูดคุยกับบริษัท 5 แห่งที่เบิร์กไชร์เข้าไปซื้อหุ้นตั้งแต่ช่วงปี 2020 ซะมากกว่า

การไปเยือนครั้งนี้เน้นย้ำให้เห็นว่าบัฟเฟตต์เริ่มมีการเทน้ำหนักในการลงทุนในตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น และญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่เขารู้สึกมั่นใจสำหรับอนาคตที่จะมาถึงด้วย โดยเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อ Nikkei ว่า “แค่มาคุยเรื่องธุรกิจและเน้นย้ำเรื่องการสนับสนุนของเรา” ซึ่งคำพูดของบัฟเฟตต์ “อาจกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่า” ฮิโรชิ นามิโอกะ (Hiroshi Namioka) หัวหน้านักยุทธศาสตร์ของ T&D Asset Management กล่าวกับ Bloomberg

ในเดือนสิงหาคม 2020 เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์เปิดเผยว่าได้เข้าซื้อหุ้นราว ๆ 5% ของแต่ละบริษัทการค้าชั้นนำ 5 อันดับแรกของญี่ปุ่นคือ : Itochu, Mitsubishi Corp., Mitsui& Co., Sumitomo Corp. และ Marubeni

ผ่านมาประมาณ 2 ปี ในเดือน 2022 เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ได้เข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นอีก โดยประมาณ 1% ในแต่ละบริษัท ตามข้อมูลของ Reuters บอกว่าตอนนี้ถือ 6.59% ใน Mitsubishi Corp, 6.62% ใน Mitsui & Co. Ltd., 6.21% ใน Itochu Corp., 6.75% ใน Marubeni Corp. และ 6.57% ใน Sumitomo Corp และดูเหมือนว่าการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้บัฟเฟตต์อาจจะมองว่าเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้และลงทุนในที่อื่น ๆ มากขึ้นด้วย โดยบัฟเฟตต์บอกกับ Nikkei ว่า เขา “ภูมิใจมากๆ” กับการลงทุนซึ่งมีมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 375,000 ล้านบาท

บัฟเฟตต์กล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ เราเป็นเจ้าของบริษัทลงทุนเพียงห้าแห่งเท่านั้น มีบางแห่งที่ผมยังคิดถึงอยู่” บอกเป็นนัยว่าการลงทุนอื่น ๆ ในบริษัทญี่ปุ่นไม่ใช่ปัญหา และกล่าวว่าการลงทุนในภูมิภาคนี้ “เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอยู่เสมอ”

ซึ่งหลังจากข่าวนี้ออกไปหุ้นของทั้ง 5 บริษัทก็พุ่งขึ้นเลยทันที

ทำไมบัฟเฟตต์ถึงสนใจหุ้นของ 5 บริษัทนี้ในญี่ปุ่น?

บัฟเฟตต์ซึ่งตอนนี้มีมูลค่าทางทรัพย์สินราว ๆ 3.7 ล้านล้านบาทตามรายงานของ ​Bloomberg บอกว่ามันต่อไปในอนาคตเขากับบริษัทต่าง ๆ ในญี่ปุ่นนั้นอาจจะพาร์ตเนอร์กันก็ได้ ลงทุนด้วยกันหรือทำงานร่วมกันบางอย่าง

“เราคิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเขาในบางจุดในอนาคตในข้อตกลงบางอย่าง เรายินดีมากหากใครก็ตามในห้าบริษัทนี้มาหาเราและบอกว่า ‘เรากำลังคิดที่จะทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก หรือเรากำลังจะซื้ออะไรบางอย่างและเราต้องการหุ้นส่วนหรืออะไรก็ตาม’”

ทั้ง 5 บริษัทที่บัฟเฟตต์ลงทุนนั้นล้วนเป็นบริษัทลงทุนเช่นเดียวกับ เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ (ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ‘sogo shosha’) โดยในพอร์ตก็จะมีตั้งแต่บริษัทด้านการแพทย์ สุขภาพ ทรัพยากรแร่ธาตุ ไปจนถึงอาหารเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมบัฟเฟตต์ถึงให้ความสนใจบริษัทเหล่านี้อย่างมาก

“เรารู้สึกว่าบริษัททั้ง 5 แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงส่วนผสมของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นแต่รวมถึงทั่วโลกด้วย พวกเขามีความคล้ายคลึงกับเบิร์กไชร์มาก เพราะเป็นเจ้าของในส่วนต่าง ๆ มากมาย”

แม้ว่าบริษัทต่างๆ ทั่วโลกที่เรียกว่า ‘sogo shosha’ มักถูกมองว่าซับซ้อนเกินกว่าจะลงทุน ตัวอย่างเช่น Itoshu ลงทุนและค้าขายในอาหาร เครื่องแต่งกาย และการค้าปลีก Marubeni ในอาหาร อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ และพลังงาน; Mitsui ในด้านพลังงาน โลหะ และการดูแลสุขภาพ ซึ่งส่วนนี้แหละที่มีความคล้ายกับเบิร์กไชร์ที่ลงทุนในหุ้นอย่าง Apple, Bank of America, Chevron, Coca-Cola และ American Express

นอกจากเรื่องความคล้ายคลึงกันของรูปแบบบริษัทของบัฟเฟตต์และบริษัททั้ง 5 ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้บัฟเฟตต์มีแนวโน้มที่จะลงทุนเพิ่มคือบริษัทเหล่านี้เปิดรับแนวคิดการซื้อหุ้นคืนอีกด้วย

ลงทุนในตลาดต่างประเทศ

แม้ว่าเราจะเห็นว่าเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์นั้นมีการลงทุนในตลาดต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือไต้หวัน แต่บัฟเฟตต์ก็เปิดเผยว่าตอนนี้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์นั้นทำให้การลงทุนในตลาดต่างประเทศมีความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น

เขากล่าวว่าความตึงเครียดแบบนี้คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ต้องถอนตัวขายหุ้นบริษัทผลิตชิปเจ้าใหญ่ของไต้หวันอย่าง TSMC ไปกว่า 85% ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเพิ่งซื้อหุ้นไปราว ๆ 4 พันล้านเหรียญในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ในปีเดียวกันก็ตาม

บัฟเฟตต์อธิบายว่าธุรกิจเหล่านี้มีการจัดการที่ดี แต่เสริมว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็น “ข้อพิจารณา” ในการถอนการลงทุน แต่กล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วกองทุนของเขาสามารถหาที่ที่ดีกว่าที่จะนำเงินไปลงได้

ซึ่งการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ทำให้เห็นว่าการลงทุนในต่างประเทศของบัฟเฟตต์และเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เป็นประจำ อย่างที่เคยกล่าวไปในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นในปี 2019 ที่บอกว่า

“มันเป็นความเย่อหยิ่งจองหองเกินไปสำหรับธุรกิจหรือคนอเมริกันใดก็ตามที่จะโอ้อวดว่าพวกเขา ‘ทำทุกอย่างเองทั้งหมด’ ชาวอเมริกันจะมั่งคั่งและปลอดภัยมากขึ้นหากทุกประเทศเจริญรุ่งเรือง ที่เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์เราหวังที่จะลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศด้วย”

======

อ้างอิง

Reuters

The Guardian

Nikkei

Business Insider

Reuters