ปัจจุบันช่องทางการลงทุนนั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละช่องทางจะมีลักษณะเฉพาะตัว และความเสี่ยงแตกต่างกันไป วันนี้ aomMONEY อยากมาพูดถึง ‘ตราสารหนี้’ ที่มักถูกนักลงทุนมองข้ามไปหาช่องทางอื่นที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า ว่ามีความน่าสนใจอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ต่ำ และความมั่นคงในการลงทุน

โดย aomMONEY จะพาไปดูข้อมูลจากงานสัมมนา TFPA Wealth Management Forum 2023 : Default & Fraud ในหัวข้อ ‘ตราสารหนี้: การบริหารจัดการในสถานการณ์ปัจจุบัน และแนวทางการลงทุน’ โดย ดร. สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างมาดูกัน

💰สถานการณ์ ‘ตราสารหนี้ไทย’ เป็นอย่างไร?

ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2023 ตลาดตราสารหนี้ไทยมีมูลค่ารวม 16.7 ลลบ. คิดเป็น 96% ของ GDP แสดงให้เห็นว่าตลาดตราสารหนี้ไทยมีขนาดใหญ่ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวม และมีการมีตลาดขนาดใหญ่แบบนี้ ส่งผลให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะตลาดมีความหลากหลาย และมีความมั่นคง

💰ความเสี่ยงหลักในการลงทุนตราสารหนี้ประกอบด้วย 3 ด้าน

ความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk): ความเสี่ยงนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด ซึ่งส่งผลต่อราคาของตราสารหนี้ ราคาของตราสารหนี้มีความสัมพันธ์แบบย้อนกลับกับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง

ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระเงินดอกเบี้ยหรือเงินต้นให้กับผู้ถือตราสาร ความเสี่ยงนี้สูงขึ้นตามการลดลงของคุณภาพเครดิตของผู้ออกตราสาร

ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากในการขายตราสารหนี้ในตลาดโดยไม่ต้องลดราคาลงอย่างมาก เป็นความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้เมื่อต้องการ หรือต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาด

💰จะลงทุนตราสารหนี้ต้องรู้อะไรบ้าง ?

➡️ความเสี่ยงและผลตอบแทน: ตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในรูปแบบของดอกเบี้ย​​

➡️ประเภทของตราสารหนี้: มีทั้งที่ออกโดยรัฐบาลและเอกชน รัฐบาลอาจออกตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่เอกชนอาจออกตั๋วแลกเงินหรือหุ้นกู้​​​​​​​​

➡️การจัดอันดับเครดิต (Credit Rating): มีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของตราสารหนี้ โดยตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐมักจะมีความเสี่ยงน้อย ขณะที่ในฝั่งของเอกชนควรพิจารณาจาก Credit Rating ของผู้ออก​​

➡️การจัดกลุ่มตามเครดิต: ตราสารหนี้เอกชนแบ่งเป็นกลุ่ม Investment Grade และ High Yield Bond ซึ่งมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน​​

➡️ตลาดแรกและตลาดรอง: การลงทุนโดยตรงสามารถทำได้ทั้งในตลาดแรก และตลาดรอง โดยมีทางเลือกในการซื้อขายหลายช่องทาง​​​​​​​​

➡️การลงทุนผ่านกองทุนรวม: ตราสารหนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีหลายประเภทเพื่อเลือกลงทุนตามนโยบายการลงทุนและความเสี่ยงที่ต่างกัน​​

➡️การพิจารณาอัตราดอกเบี้ย: ควรพิจารณาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมีผลต่อราคาของตราสารหนี้ และจะมีผลกระทบต่อตราสารหนี้ที่มีอายุครบกำหนด (Duration) มากขึ้น​​

ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ลงทุนที่น่าสนใจด้วยความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ โดยมีประเภทต่างๆ ทั้งที่ออกโดยรัฐบาลและเอกชน โดยต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ย และการจัดอันดับเครดิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการลงทุนทั้งในตลาดแรก และตลาดรอง และการลงทุนผ่านกองทุนรวม เพื่อให้เข้าถึงตราสารหนี้ได้ง่ายขึ้น การเข้าใจในส่วนประกอบเหล่านี้จะช่วยให้การลงทุนในตราสารหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน