เกมแรกแบบ ‘เต็มฤดูกาล’ ของ ลิโอเนล เมสซี (Lionel Messi) นักเตะสัญชาติอาร์เจนตินาเจ้าของบัลลงดอร์ 8 สมัย วัย 36 ปี กับทีมใหม่อินเตอร์ ไมอามี (Inter Miami) สโมสรในเมเจอร์ลีกของอเมริกา (MLS) กำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

หลังจากตัดสินใจเข้ามาร่วมทีมอินเตอร์ ไมอามีเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ลงสนามไปทั้งหมด 14 นัด ยิงไปถึง 11 ประตู และจ่ายให้คนอื่นทำประตูไปถึง 5 ครั้ง สถิติถือว่าสวยงามเลยทีเดียว

หากเดินไปตามท้องถนนของเมืองไมอามี หรือในสนามฟุตบอล จะเห็นแฟนบอลใส่เสื้อสีชมพูของสโมสรที่มีชื่อ ‘Messi’ ติดหลังกันเต็มไปหมด

เสื้อสีชมพูของไมอามีดังมากถึงขั้นว่านิตยสารแฟชั่น Vogue Magazine ต้องจัดให้เป็นหนึ่งใน 15 ไอเทมแฟชั่นแห่งปี 2023 เลยทีเดียว

สำหรับปีนี้จะเป็นถือเป็นปีแรกที่เมสซีได้ลงเล่นให้กับทีมอย่างเต็มฤดูกาล แต่กว่าดีลประวัติศาสตร์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะการที่เขาเลือกมาเล่นให้กับอินเตอร์ ไมอามี นั่นหมายถึงการปฏิเสธเงินค่าเหนื่อยกว่า 58,000 ล้านบาทที่ทีมในลีกประเทศซาอุฯ เสนอให้ในเวลาเดียวกันด้วย

💵 ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข

ช่วงต้นปี 2023 ข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลคงหนีไม่พ้นเรื่องการย้ายทีมของซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) หนึ่งในคู่แข่งที่เทียบเคียงกับ เมสซี มาโดยตลอดในช่วงที่ทั้งคู่ยังเล่นอยู่ในลีกสเปน

โรนัลโดถูกทีม Al Nassr ในลีกประเทศซาอุดีอาระเบียทุ่มเงินจ่ายค่าแรงกว่า 200 ล้านเหรียญ (7,000 ล้านบาท) ต่อปีดึงตัวไป ต่อมาก็มีข่าวว่าซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆ อย่าง เนย์มาร์ (Neymar) และ คาริม เบนเซมา (Karim Benzema) ต่างก็ย้ายไปเล่นในลีกเดียวกับโรนัลโดเช่นกัน

แน่นอนว่าเมสซีเองก็ถูกทาบทามด้วยเงินมหาศาลเช่นเดียวกัน จากรายงานบอกว่ารวมๆ แล้ว 3 ปีจะฟันเงินไปประมาณ 1,600 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 58,000 ล้านบาทเลยทีเดียว (ปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท)

แต่เมสซีกลับปฏิเสธและเลือกเซ็นกับ อินเตอร์ ไมอามี ที่ตามสัญญา 2 ปีครึ่งมูลค่าจะอยู่ที่ราวๆ 150 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5,400 ล้านบาท เท่านั้น

ข้อเสนอนั้นต่างกันมาก ถ้าดูกันแค่ตัวเลข เหมือนว่าเมสซีกดเครื่องคิดเลขผิดรึเปล่า?

แต่เหตุผลที่ทำให้เมสซีตัดสินใจอย่างนี้เพราะเขาเห็นโอกาสบางอย่างที่มากกว่าแค่ตัวเงินบนข้อเสนอสัญญา

ที่ อินเตอร์ ไมอามี เขาจะไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้น แต่เป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่จะเติบโตไปพร้อมๆ กับสโมสรด้วยต่างหาก

🎉 ดีลประวัติศาสตร์

อย่างแรกเลยคือข้อเสนอ 2 ปีครึ่งของ ไมอามี น่าสนใจตรงที่เขาจะมีโอกาสถือหุ้นในทีมไมอามีด้วย นั่นหมายความว่าหากมูลค่าของทีมเพิ่มสูงมากขึ้น ต่อไปในอนาคตหุ้นที่เขาถืออยู่นี้ก็จะมีมูลค่าสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เป็นการลงทุนแบบกินเงินปันผลระยะยาวที่มากกว่าแค่ค่าเหนื่อยรายปีเหมือนกับการเป็นนักเตะที่เล่นจนครบสัญญา

นอกจากนั้นแล้ว ด้วยสถานะของเขาที่เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เวลาขยับตัวทำอะไรก็เป็นที่จับตามองของแฟนๆ อยู่เสมอ

การย้ายมาอยู่กับไมอามี ทำให้ชื่อเสียงของทีมเติบโตอย่างรวดเร็ว ดูง่ายๆ จากคนติดตาม Instagram ราว 1 ล้านคนในวันที่ 6/6/2023 พอมีข่าวว่าเมสซีจะย้ายมาร่วมทีม คนติดตามพุ่งขึ้นเป็น 8 ล้านคนในเวลาไม่ถึง 1 อาทิตย์ และกลายเป็น 16 ล้านคนในเดือนกุมภาพันธ์ 2024

ในส่วนของรายได้ก็เติบโตไม่แพ้กัน

📌 ปี 2022 รายได้อยู่ที่ 56 ล้านเหรียญ
📌 ปี 2023 รายได้อยู่ที่ 118 ล้านเหรียญ
📌 ปี 2024 (คาดการณ์) รายได้ที่ 200 ล้านเหรียญ

ซึ่งถ้าปีนี้ทำได้ตามที่วางแผนเอาไว้ก็จะถือทำสถิติสูงสุดของ MLS ด้วย

มูลค่าของทีม จากประมาณ 583 ล้านเหรียญ (เดือนมกราคม 2023) ตอนนี้มูลค่าเพิ่มขึ้นไป 74% หรือว่า 1,000 ล้านเหรียญไปเรียบร้อยแล้ว

สร้างโอกาสในการขายผลิตภัณฑ์และตั๋วเข้าชมการแข่งขันขึ้นอย่างมาก (ราคาตั๋วเข้าชมที่ถูกเอามาขายกันข้างนอกตลาดพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว)

ถ้าเราถือว่าเมสซีคือสินทรัพย์อย่างหนึ่ง การลงทุนของอินเตอร์ ไมอามีครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่ากำลังออกดอกออกผลอย่างงดงามเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่ทีมเท่านั้นที่ได้รับความสนใจ แต่ทั้งลีก MLS เลยก็ว่าได้ ซึ่งตรงนี้เมสซีก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน

🍎ในปี 2022 บริษัท Apple ได้เซ็นสัญญา 10 ปี มูลค่า 2,500 ล้านเหรียญกับ MLS เพื่อซื้อสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดการแข่งขัน ส่วนหนึ่งของสัญญาที่เมสซีเซ็นกับไมอามี จะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากค่าสมาชิกใหม่รายปีของ MLS Season Pass ของ Apple ด้วย

ซึ่งถ้าดูตามตัวเลขถือว่าเติบโตดีมากๆ หลังจากที่เมสซีมาเล่นที่ MLS จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า จากประมาณ 700,000 คน ช่วงกลางปี เป็น 2 ล้านคนเมื่อสิ้นสุดปี 2023

👟ต่อมาก็มี Adidas ที่เป็นพาร์ตเนอร์คนสำคัญของทั้งเมสซีและ MLS อยู่แล้ว

ในปี 2023 Adidas ตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมงานยาว 6 ปี มูลค่า 830 ล้านเหรียญกับ MLS และ เมสซีที่ทำงานร่วมกับ Adidas มาตั้งแต่ 2006 ก็เพิ่งเซ็นสัญญาแบบ ‘lifetime’ เป็นพาร์ตเนอร์ตลอดชีวิตกับ Adidas ในปี 2017 ไป

ตอนนี้การที่เขาย้ายมา MLS ก็ทำให้ Adidas มอบสัญญาเพิ่มให้เมสซีไปอีกว่า กำไรที่ได้จาก MLS จะแบ่งให้เมสซีเพิ่มไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นเสื้อฟุตบอล อุปกรณ์กีฬาต่างๆ (ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า กลายเป็นเสื้อที่ขายดีที่สุดของ MLS ปี 2023 ภายในไม่กี่เดือนหลังจากที่ร่วมทีม)

แม้จะไม่ได้มีตัวเลขรายงานที่ชัดเจน แต่พอรวมๆ กันแล้ว ดีลประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ทั้งสัญญาค่าเหนื่อยกับทีม หุ้นของทีม พาร์ตเนอร์ทั้ง Apple และ Adidas ก็ถือว่าได้ไปไม่น้อย อาจจะไม่มากเท่ากับการไปเล่นที่ลีกของซาอุฯ แต่สำหรับเขานั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด

❤️ เพื่อความสุขของครอบครัว

“หากเป็นเรื่องของแค่เงิน ผมคงไปซาอุฯ หรือที่อื่นแล้ว มันเป็นเงินที่เยอะมากสำหรับผม ความจริงคือผมตัดสินใจไปที่อื่นและไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน”

เมสซีให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องการตัดสินใจของเขาในครั้งนี้

นอกจากเรื่องรายได้แล้ว เขายังบอกอีกว่าการย้ายมาครั้งนี้ก็เพื่อครอบครัวของเขาด้วย ช่วงสองปีที่อยู่ในปารีสทั้งครอบครัวไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ การจะย้ายกลับไปบาร์เซโลนาก็ไม่อยากไปเจอสถานการณ์เดิมๆ (ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในมือได้จนต้องย้ายออก) การมาอยู่กับไมอามี ก็ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของครอบครัวด้วย

เมสซีบอกกับการสัมภาษณ์กับ Apple TV+ ว่า

“เราเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ยากๆ มาสองปี [ที่ปารีส] ความจริงคือเราไม่ได้มีความสุขกันเท่าไหร่ มันยากมากสำหรับทั้งครอบครัวเลย […] มันคือการตัดสินใจของครอบครัว เรื่องของเด็กๆ ให้ครอบครัวมีความสุขกัน”

สำหรับเมสซีแล้ว หากดูเพียงเรื่องเงินอย่างเดียว การไปลีกซาอุฯ​ อาจจะได้เงินเยอะกว่า แต่เขาก็จะเป็นเพียง ‘นักเตะ’ ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง มาสร้างแสงวูบวาบเพียงชั่วคราวช่วงบั้นปลายอาชีพแล้วจางหายไปในหน้าประวัติศาสตร์

มีความเสี่ยงน้อยกว่า ได้เงินค่อนข้างชัวร์ (ยกเว้นฟอร์มไม่ดี ถูกบอกเลิกสัญญา) ซึ่งแน่นอนว่าหากเขาจะเลือกไปทางนั้น ทุกคนก็คงเข้าใจได้

แต่การเลือกมาเล่นให้กับไมอามี ความเสี่ยงก็มี เพราะหากฟอร์มไม่ดี รายได้จากสัญญาพาร์ตเนอร์ต่างๆ ก็คงน้อยลง แต่มันก็มีโอกาสที่ใหญ่กว่าเช่นกัน

👏 นอกจากเรื่องรายได้ที่มีโอกาสเติบโต และยังเป็นเจ้าของหุ้นบางส่วนของสโมสร เขายังสามารถสร้างผลกระทบกับหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลของ MLS เหมือนที่ครั้งหนึ่งเจ้าของทีมไมอามีอย่าง เดวิด เบคแฮม (David Beckham) เคยทำไว้เมื่อปี 2007 ยกระดับลีกขึ้นไปอีกขั้นได้ด้วย ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

เพราะสุดท้ายสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้เล่นฟุตบอลที่เขารักและอยากทำให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการมาอยู่กับไมอามีก็เติมเต็มตรงจุดนี้ด้วย

“ผมชอบที่จะเล่น ตอนซ้อม ตอนแข่ง ตอนอยู่ในสนาม ผมไม่รู้หรอกว่าจะเล่นได้อีกนานแค่ไหน แต่ก็จะทำให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แล้วค่อยว่ากัน มันมีเวลาที่จะมานั่งวิเคราะห์ คิด และเลือก แต่วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีความสุขกับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม มากหรือน้อย มีความสุขกับมันที่สุด ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผมทำในตอนนี้”