หลายคนน่าจะพอรู้ดีว่า ถ้าอยาก “รวย” มีทางเลือกหลักๆ อยู่ 2 ทาง คือ
(1) ทำงานให้หนัก เพื่อสร้าง Active Income
(2) ลงทุนให้มาก เพื่อสร้าง Passive Income
แต่การมีรายได้ที่มาก ก็ไม่ได้การันตีว่าความรวยจะเกิดขึ้นกับเราได้ทันที
เพราะความรวย ไม่ได้เกิดจากมูลค่าของ “รายได้” แต่เกิดจากมูลค่าของ “เงินเก็บ”
สิ่งนี้เป็นที่รู้กันดี และถูกใช้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในกลุ่มของคนที่มีอาการ “Money Dysmorphia” หรือ คนที่เน้นเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนเกิดเป็นความเครียดและความวิตกกังวลในใจอยู่ตลอดเวลา
ลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้คือ มักจะมีการโฟกัสไปที่ “อนาคต” และมักจะหลงลืมความสุข “ปัจจุบัน” ไป
กล่าวคือ คนกลุ่มนี้ต้องการมีเงินเก็บให้ได้เยอะๆ ต้องสะสมความมั่งคั่งให้ได้มากที่สุด เพื่อคุณภาพชีวิตในวันข้างหน้า ฟังดูแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีและน่าทำตาม ถ้าไม่ใช่เพราะว่า การทำเพื่อความสุขในอนาคตนั้น กลับมาเบียดบังความสุขในปัจจุบันจนเกินไป ซ้ำร้าย หากปล่อยให้อาการนี้อยู่กับเราไปเรื่อยๆ เราอาจกลายเป็นคนที่หาความสุขและสมดุลของชีวิตไม่ได้เลย
อาการของ Money Dysmorphia เป็นอย่างไร สรุปให้ 4 ข้อ ดังนี้
1. รู้สึกว่า “มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
คนที่อยู่ในภาวะ Money Dysmorphia มักรู้สึกว่า “ต้องมีเงินให้มากกว่านี้” ดังนั้น สิ่งที่คนกลุ่มนี้ทำ คือ การพยายาม “เพิ่มรายได้” ให้มากเข้าไว้ และ “ลดรายจ่าย” ให้น้อยที่สุด ด้วยการเลือกที่จะไม่จ่ายเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย หรือบางคน แม้เป็นสิ่งที่จำเป็น ก็พยายามลดคุณภาพลง เพื่อให้มีรายจ่ายน้อยที่สุด จะได้เหลือเงินเก็บเยอะๆ
ทั้งนี้ ต้องบอกว่าพฤติกรรมนี้ไม่มีทีท่าจะเบาลง แม้จะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำร้าย มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
โดยที่สาเหตุส่วนหนึ่งของอาการนี้ อาจมาจากการ “มีเป้าหมายทางการเงินที่ไม่ชัดเจน” ผสมอยู่ด้วย เพราะการมีเป้าหมายไม่ชัดเจน หรือไม่มีเป้าหมายเลย ส่งผลให้ไม่รู้ว่า จำนวนเงินที่สมเหตุสมผลที่เราควรจะมีนั้น เป็นมูลค่าเท่าไหร่กันแน่
2. รู้สึกว่า “ยอมไม่ได้ ที่คนอื่นมีเงินมากกว่า”
การเปรียบเทียบ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่อย่าลืมความจริงที่ว่า “มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน” อย่างกรณีของมนุษย์ที่เป็นฝาแฝดกัน ความแตกต่างก็ยังสามารถพบเห็นได้
ดังนั้น การนำความมั่งคั่งของเรา ไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ที่มีความั่งคั่งมากกว่า จะส่งผลให้ทำให้เรากดดันมากเกินไป จนสร้างเป็นความเครียดเพิ่มมากขึ้น
แต่ต้องบอกว่า ดูคนอื่นเพื่อเป็นบทเรียนหรือเป็นแรงบันดาลใจนั้น สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องนำมาดูว่า เรามีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือพัฒนาต่อได้บ้าง ตามปัจจัยที่เรามี
3. รู้สึก “เครียดเมื่อนึกถึงเรื่องเงิน”
กล่าวคือ บางเวลาที่สมองได้คิดถึงเรื่องเงินขึ้นมา เราจะรู้สึกเศร้า รู้สึกกังวล หรือรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที ไม่รู้จะหาทางออกยังไง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เงินที่เรามีอยู่ไม่รู้ว่าจะช่วยให้เราและครอบครัวผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้หรือไม่
สิ่งนี้เป็นผลมาจาก การประเมินความเสี่ยงของเหตุการณ์หรือความไม่แน่แน่นอนในชีวิตที่สูงเกินไป หรือการมองโลกหรือสิ่งต่างๆ ในแง่ร้ายจนเกินไป โดยไม่คำนึงถึงโอกาสที่สามามรถเกิดเหตุกาณ์เลวร้ายนั้นได้จริงๆ ทำให้รู้สึกวิตกต่อเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
4. รู้สึก “ไม่อยากกลับเป็นเหมือนอดีต”
สุดท้าย บางคนอาจมีอาการรู้สึกวิตกกังวล เพราะมีประสบการณ์ด้านการเงินที่ไม่ดีในอดีต เช่น เคยฐานะทางการเงินไม่ดี ใช้ชีวิตลำบากมาก่อน วันหนึ่งพอสามารถสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ก็กลัวว่า หากทำอะไรผิดพลาดไป ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการที่เรายึดติดกับอตีตมาจนเกินไป ซึ่งการใช้อดีตเพื่อมาเป็นบทเรียนนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่การใช้อดีตเพื่อมาสร้างแรงกดดันหรือความเครียด ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
วิธีแก้ไขต้องใช้หลักการ Wealth Life Balance
ควรมีการถ่วงน้ำหนักระหว่างความสุขใน “อนาคต” กับ ความสุขใน “ปัจจุบัน” ให้พอดีกัน โดยใช้ความทุกข์ใน “อดีต” เป็นบทเรียนสอนใจ
กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะมีอาการของ Money Dysmorphia หรือไม่ หากอยากประสบความสำเร็จทางด้านการเงินแบบไม่เครียด ควรตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราจะต้องเตรียมเงินหรือจัดสรรเงินสำหรับวันนี้และอนคตเท่าไหร่
โดยที่ต้องประเมินสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตตามความเป็นจริง ไม่มองโรคในแง่ร้ายจนเกินไป ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า เราทุกคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น ไม่ควรเอาตัวเองไปเทียบกับใครจนเกินไป พยายามอยู่บนเส้นทางการเงินของตัวเอง แต่ใช้เรื่องราวผู้อื่นเป็นแรงบันดาลใจได้ และสุดท้าย ต้องยอมรับในตัวเอง ยอมรับสิ่งที่เคยเป็นมา ยอมรับว่า “อดีต” ก็คือบทเรียน และอตีตไม่ใช่แรงกดดัน
สุดท้ายแล้ว ต้องบอกว่า “น้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี” ต้องทำให้เหมาะสม ดังนั้น สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องนี้คือ เรื่องของความเหมาะสมที่แต่ละคนต้องไปหาคำตอบดูว่า เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม เท่าไหร่คือพอดี เท่าไหร่คือจุดที่เรามีความสุขสำหรับเรากันแน่
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ
ภาพ: ปัทมาภรณ์ รอดดารา