จากความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบให้นักลงทุนหลายคนสับสน มึนงง ไม่รู้จะจัดการกับเงินในพอร์ตลงทุนอย่างไรดี จะเติมเงิน หรือโยกย้าย อยากไปต่อก็กลัวขาดทุน จะหยุดแค่นี้ก็เสียดายโอกาส เชื่อว่าหลายคนกำลังเจอปัญหานี้อยู่ ลองหันกลับมาดูพอร์ตลงทุนตัวเองก่อนว่ายังโอเคอยู่ไหม ผลตอบแทนที่ได้นั้นอยู่ในระดับที่เราคาดหวัง และสามารถพาให้ไปถึงฝั่งฝันหรือไม่

ถ้าคำตอบคือใช่ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย คุณสามารถลงทุนต่อไปตามแบบแผนเดิมได้ หรือจะเพิ่มเงินลงทุนเข้าพอร์ตตามสัดส่วนของแต่ละ Asset class ได้เลย แต่ให้ระวังเรื่องความเสี่ยงของพอร์ตที่สูงขึ้น เพราะเมื่อสินทรัพย์มีการเพิ่มมูลค่าขึ้น เช่น สัดส่วนของหุ้นเพิ่มขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตสูงขึ้น ซึ่งอาจเกินกว่าความเสี่ยงที่รับได้ เราก็ควรทำการปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิมที่วางแผนไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตลงทุนอยู่ในระดับที่เสี่ยงเกินไป หรือที่เรียกว่า การทำ Portfolio Rebalancing สามารถทำได้ 3 วิธี

1.เพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนลดลง
2.ขายสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนเกินออกมาบางส่วน แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนลดลง
3.ลดสัดส่วนของสินทรัพย์เกินโดยการขายออกมา

ผลตอบแทนคือสิ่งที่ทุกคนคาดหวังจากการลงทุน แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ ในระหว่างการลงทุนหากรู้ตัวว่ารับความเสี่ยงและความผันผวนได้น้อยลง เราสามารถปรับสัดส่วนสินทรัพย์ของพอร์ตเพื่อให้ความเสี่ยงโดยรวมลดลงตามระดับที่เรารับได้ ในการเพิ่ม/ลดความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ตทำได้โดยการปรับเพิ่ม/ลดสัดส่วนของเงินสด/เงินฝาก ตราสารหนี้ และหุ้นได้

นี่คือความสำคัญของการทำ Portfolio Rebalancing โดยมีวิธีการจัดพอร์ตลงทุนตามความเสี่ยงหลักๆ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เสี่ยงต่ำ เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงสูง โดยมีสัดส่วนการลงทุนดังนี้

แบบเสี่ยงต่ำ

เงินสด/เงินฝาก = 30%
ตราสารหนี้ = 40%
หุ้น = 30%

แบบเสี่ยงปานกลาง

เงินสด/เงินฝาก = 20%
ตราสารหนี้ = 30%
หุ้น = 50%

แบบเสี่ยงสูง

เงินสด/เงินฝาก = 10%
ตราสารหนี้ = 20%
หุ้น = 70%

จากด้านบนจะเห็นว่า ความเสี่ยงของพอร์ตจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนเงินทุนที่เราลงในสินทรัพย์นั้นๆ สัดส่วนของหุ้นที่มากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ตสูงขึ้น ในทางกลับกันสัดส่วนของตราสารหนี้ที่มากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงและความผันผวนของพอร์ตลดลงด้วยเช่นกัน

ถ้าวันนี้คุณมีเงินพร้อมลงทุน 1 ก้อน คุณจะเลือกลงทุนอะไร ระหว่าง

1.ลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ตัว และจัดสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนหรือเงินปันผลเฉลี่ย 5% ต่อปี

หรือ 2. นำเงินไปซื้อพันธบัตรระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย 5% ต่อปี

ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนแบบไหน หากการลงทุนนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายการเงิน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ควรเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงเหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด และสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินตามที่คาดหวังไว้ นั่นจึงเป็นวิธีการลงทุนที่สำคัญ และจะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน

คำว่าผลตอบแทนที่ดีของแต่ละคนไม่เท่ากัน และเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนก็แตกต่างกัน จึงไม่มีวิธีลงทุนแบบไหนที่ดีกว่ากัน แต่ความสำคัญอยู่ที่การลงทุนนั้นสามารถนำพาให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนได้หรือไม่

เขียนโดย: กนกวรรณ แซ่หลิน ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™