ฉันรักชีวิตของตัวเองแล้วก็รู้สึกเติมเต็มทุกอย่าง

นั่นคือคำกล่าวของ แอชลีย์ มาร์เรโน (Ashley Marreno) กับการสัมภาษณ์กับสื่อ Bloomberg เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2022 ที่ผ่านมา เธอเป็นผู้หญิงโสด อายุ 43 ปี ไม่มีสามี (หย่า) และไม่มีลูก เป็นตัวแทนขายของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์

เธอก็รู้สึกว่าทางเลือกนี้ชีวิตก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไร นอกจากนั้นแล้วสถิติตัวเลขจากธนาคารกลางสหรัฐก็บอกเช่นกันว่า ผู้หญิงโสดไม่มีลูกนั้นโดยเฉลี่ยแล้ว ‘รวยกว่า’ ผู้หญิงโสดที่มีลูก (คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว) และทั้งผู้ชายโสดที่ทั้งมีและไม่มีลูกด้วย

มาร์เรโนบอกว่าทุกวันที่ทำงานก็ทำได้อย่างเต็มที่ เจอลูกค้า คนไข้ ก็เป็นความท้าทายของการทำงานมีความสุข ชีวิตส่วนตัวก็ถือว่าคล่องตัว มีสถานะการเงินที่เป็นอิสระ รายได้ดี ไม่มีภาระรับผิดชอบในการเป็นโสดและไม่มีลูก เดินทางได้บ่อย มีบ้านบนชายฝั่งนอกเมือง และอพาร์ตเมนต์ในเมืองสำหรับวันทำงานด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมาร์เรโนก็ไม่ได้ปิดตายประตูสำหรับการมีลูกซะทีเดียว เธอพึ่งพาเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Egg Freezing” การแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ไว้ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยเก็บรักษาเซลล์ไข่ไว้ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ในเวลาที่พร้อม สำหรับผู้หญิงที่วางแผนมีลูกหลังจากวัย 35 ปี เธอกล่าวว่า

“ฉันรักเด็ก ๆ นะ รักลูกของเพื่อน ๆ ทุกคนเลย แต่ฉันไม่รู้ว่าจะรักชีวิตของตัวเองที่มีลูกรึเปล่า”


มาร์เรโนเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างหนึ่งของผู้หญิงในยุคนี้ที่เลือกจะชะลอการมีลูกหรือบางคนก็เลือกที่จะไม่มีเลย ส่วนใหญ่แล้วจะมีหน้าที่การงานที่มั่นคงและมีตำแหน่งที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้หญิงในสมัยก่อน ทำให้เป็นกลุ่มที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย

จากงานวิจัยของธนาคารกลาง St. Louis บอกว่าผู้หญิงโสดที่ไม่มีลูกนั้นมีความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยแล้วราว ๆ 65,000 เหรียญ (ประมาณ 2.2 ล้านบาท) ส่วนผู้หญิงโสดที่มีลูก (คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว) มีความมั่งคั่งเฉลี่ยเพียง 7,000 เหรียญ (ประมาณ 240,000 บาท) แตกต่างกันเกือบสิบเท่าเลยทีเดียว

ส่วนผู้ชายโสดและไม่มีลูกนั้นก็มีความมั่งคั่งเฉลี่ยที่ 57,000 เหรียญ (ประมาณ 1.98 ล้านบาท) และน้อยกว่าชายโสดที่มีลูกเล็กน้อยที่ 59,000 เหรียญ (ประมาณ 2 ล้านบาท)

สถิติตรงนี้ชี้ให้เห็นประเด็นที่สำคัญบางอย่างของความแตกต่างระหว่างการมีลูกของผู้ชายและผู้หญิง ผู้หญิงที่มีลูกนั้นเสียโอกาสในการทำงานและสร้างรายได้มากกว่าผู้ชายค่อนข้างมาก นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่า “Motherhood Penalty” หรือ “โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่”

การมีลูกนั้นจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อการทำงานหรือหางาน รายได้ลดลง จำนวนชั่วโมงการทำงานก็ทำได้ไม่เต็มที่ ต้องทำงานชั่วโมงที่ยืดหยุ่นและต้องดูแลลูก ๆ ด้วย เพราะมันเป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่มองว่าแม่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลลูก และควรจะเสียสละความก้าวหน้าทางอาชีพเพื่อใช้เวลากับลูกที่บ้าน

ที่จริงแล้วเทรนด์ของการชะลอการมีลูกหรือการเป็นพ่อแม่นั้นเกิดขึ้นมาได้สักพักแล้ว ก่อน Covid-19 ระบาดด้วยซ้ำ แต่ด้วยโรคระบาดที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมย่ำแย่ ยิ่งทำให้มันเติบโตเร็วขึ้นไปอีก จากสถิติของสำนักวิจัยพิว (Pew Research Center) ในปี 2021 พบว่าชาวอเมริกันอายุระหว่าง 18-49 ปีที่ยังไม่มีลูกกว่า 44% จะไม่มีและคิดว่าจะไม่มีลูกในอนาคต ซึ่งสูงกว่าตอนปี 2018 ก่อนโควิดระบาดถึง 7%


สำหรับในประเทศไทยเองตัวเลขของครอบครัวที่ไม่มีบุตรก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2006 ถึง 2018 พบว่า โครงสร้างของครัวเรือนที่ “ไร้บุตรหลาน” มีสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยในปี 2018 นั้นมีสัดส่วนสูงถึง 37.4 % ของครัวเรือนทั้งหมด เพิ่มจาก 26.1 %ในปี 2006 คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงถึง 43.3 % และคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะยังสูงขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มของครอบครัวที่ผู้ชายหรือผู้หญิงโสดไม่มีครอบครัวและไม่มีลูก

โดยตอนนี้เราจะเห็นว่าครอบครัวส่วนใหญ่มีลูกกันช้าหรือมีน้อยลงกว่าเมื่อก่อน จากรายงานของสำนักข่าว BBC พบกว่าในปี 1950 ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ย 4.7 คน แต่พอมาปี 2017 อัตรานี้ก็ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งเหลือประมาณ 2.4 คน และคาดว่าภายในปี 2100 หรือประมาณ 80 ปีต่อจากนี้จะเหลือแค่ 1.7 คน เท่านั้น

เหตุผลหลักเลยก็มาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งปัจจัยสี่พื้นฐาน การบริโภคและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมทั้งยังค่าใช้จ่ายในการศึกษาจนถึงจบมหาวิทยาลัยที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยทางเพจ aomMONEY เคยรวบรวมข้อมูลไว้พบว่าเด็กหนึ่งคนตั้งแต่แรกเกิดจนถึงจบมหาวิทยาลัย (22 ปี) ต้องใช้เงินเฉลี่ยราว ๆ 2.5 ล้านบาท หรือถ้าใครส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ ต่อมหาวิทยาลัยนานาชาติ หรือไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ก็อาจจะสูงถึง 12.5 ล้านบาทเลยทีเดียว


เมลิสซา เคียร์นีย์ (Melissa Kearney) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Maryland เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมยังทำให้ชะลอและเลือกที่จะไม่มีลูกในเวลานี้ คนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 เติบโตขึ้นมาพร้อมกับบรรทัดฐานที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการมีลูกและการทำงาน

“ดูเหมือนว่าลำดับความสำคัญของผู้คนเปลี่ยนไป”

เคียร์นีย์ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Aspen Economic Strategy Group และคุณแม่ลูกสามกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ว่าคนจะชอบเด็กน้อยลง หรือมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นหรือใช้เวลาเยอะสำหรับการมีลูก แต่คนยุคนี้กับคนรุ่นก่อนเห็นความสำคัญของสองอย่างนี้แตกต่างกันมากกว่า”

หลังจากแต่งงานสี่ปีและหย่าร้างกับสามีเมื่อปี 2008 มาร์เรโนก็เป็นโสดไม่ได้มีครอบครัว หน้าที่การงานและการเงินก็ถือว่าแข็งแรง มีอิสระที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อย่างการซื้ออพาร์ตเมนต์หรือซื้อบ้านก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบกับใครรึเปล่า หรือต้องเก็บเงินไว้สำหรับลูกเพื่อเข้าโรงเรียน

พี่สาวที่แก่กว่าเธอสองสามปีก็ไม่มีลูกเช่นเดียวกัน โดยในปีที่ผ่านมามาร์เรโนบอกว่าเธอเดินทางไปแล้วกว่า 10 ครั้ง ส่วนใหญ่ก็ไปกับเพื่อนที่สนิทกัน มีอยู่ราว ๆ ยี่สิบกว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูกเช่นกัน


แอนนา ดิกสัน (Anna Dickson) หนึ่งในเพื่อนของมาร์เรโนวัย 41 ปีที่เพิ่งไปเที่ยวด้วยกันมาบอกว่า “ฉันรู้สึกว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ทุกคนล้วนฉลาด มีความสามารถ จัดการชีวิตได้ดี และไม่มีลูก พวกเขาเป็นอิสระมาก” เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ที่บริษัท Google ซึ่งตอนนี้ก็อาศัยอยู่กับแฟนที่คบกันมา 5 ปี แต่ก็ไม่มีลูก โดยเธอบอกว่า “แล้วฉันก็คิดว่า อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน อยากได้แบบนั้นเลย”

แน่นอนว่าการไม่มีลูกนั้นเป็นทางเลือกที่มีข้อดีและข้อเสีย การมีครอบครัว สามี ภรรยา ลูก นั้นช่วยทำให้เกิดความอบอุ่นทางจิตใจ เป็นที่พักพิงเมื่อเจอปัญหาต่าง ๆ พอแก่ตัวมาก็ยังไม่เหงามาก ความสัมพันธ์ที่ดีนอกจากจะช่วยให้ความเครียดในชีวิตน้อยลงแล้ว ยังทำให้สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงขึ้นด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม การมีครอบครัวหรือมีลูกก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน ซึ่งในปัจจุบันทางเลือกของการใช้ชีวิตมีหลากหลาย และมันก็ควรเป็นทางเลือกที่ทุกคนสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่ใช่การถูกบีบบังคับจากบรรทัดฐานทางสังคม

ดิกสันหรือมาร์เรโนเองชอบการเดินทางและอยากทำในส่ิงที่ตัวเองอยากทำเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าการมีลูกจะทำให้การใช้ชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องยาก โดยดิกสันบอกว่า “ฉันอยากจะเสียใจที่ไม่มีลูก ดีกว่าเสียใจที่มีลูก” มันคือทางเลือก และเป็นทางเลือกที่เหมาะกับชีวิตของเธอเอง

ส่วนมาร์เรโนแม้จะยังไม่ปิดโอกาสการมีลูกและแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ของตัวเองเอาไว้ก็พูดได้อย่างน่าสนใจว่า

“ถ้าคุณจะไม่มีลูก ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกก็ตาม มันไม่ควรเกี่ยวกับเรื่องความสุขของคุณ คุณสามารถมีความสุขได้เมื่อเลือกเดินทางนี้เช่นเดียวกัน”

===========

อ้างอิง

Bloomberg

St.Louis FED

Pew Research

เว็บไซต์จุฬาฯ

Love to Know

BBC

aomMONEY

#ผู้หญิงโสด #ประสบความสำเร็จ #ความสำเร็จในงาน #โสดแล้วดียังไง #เด็กเกิดน้อยลง #ทำไมคนถึงเลือกจะเป็นโสดมากขึ้น #โสดแล้วรวย #โสดแล้วรวยจริงไหม #MotherhoodPenalty #โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่ #mother #ความเสียสละของแม่ #แม่เลี้ยงเดี่ยว #บรรทัดฐานของสังคม