“นายกฯ เซลส์แมน” คำนี้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากหลังจากการ ปาฐกถา Empowering Economy the Big Change ที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมากล่าวหลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
โดยย้ำว่าเขาขอเป็น “เซลส์แมน เบอร์ 1 ของ ประเทศไทย” เพี่อไปขายสินค้าดีๆ ของประเทศไทยในต่างประเทศ และขายความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้ได้
เพราะฉะนั้นพอคนพูดถึง “นายกฯ เซลส์แมน” ภาพของ “นายกฯ เศรษฐา” ก็ผุดขึ้นมาทันที
ด้านล่างคือบทสัมภาษณ์และเนื้อหาจาก นิตยสารไทม์ (Time) สื่อใหญ่ที่มีภาพปก “นายกฯ เศรษฐา” ฉบับวันที่ 25 มีนาคม 2024 พาดหัวว่า “THE SALESMAN” ครับ
Thailand is open for business again
หลังจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อดีตนักธุรกิจอสังหาฯ วัย 62 ปี ได้เดินทางไปแล้ว 10 กว่าประเทศเพื่อพบปะผู้นำและนักลงทุนมากมาย ตั้งแต่จีน ญี่ปุ่น อเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ (งาน World Economic Forum) และอื่นๆ
โดยเป้าหมายของการเดินทางเหล่านี้คือเพื่อดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาที่ประเทศไทย เบื้องต้นดูเหมือนกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (foreign direct investment (FDI)) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบจากปีก่อน
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการลงทุนใหญ่ๆ ในประเทศไทยเกิดขึ้นโดย Amazon Web Services, Google และ Microsoft มูลค่ากว่า 8,300 ล้านเหรียญ (เกือบ 300,000 ล้านบาท)
โดยนายกฯ เศรษฐา บอกกับนิตยสารไทม์ว่า “ผมอยากบอกทั้งโลกว่าประเทศไทยพร้อมทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศแห่งรอยยิ้ม (Land of Smiles) แห่งนี้เหมือนถูกแช่แข็งจากความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง ซึ่งนำไปสู่การยึดอำนาจโดยกองทัพไทยในการรัฐประหารปี 2014 และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้กองทัพมีบทบาทนำในประเทศ
นิตยสารไทม์กล่าวว่า “ภายใต้การปกครองกึ่งทหารที่ดำเนินมาอย่างสับสนนานกว่าทศวรรษ เศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ชะงักงันในขณะที่ความเหลื่อมล้ำพุ่งสูงขึ้น”
“ในปี 2018 ตามข้อมูลของ Credit Suisse Global Wealth Databook คนร่ำรวยที่สุด 1% ของประเทศไทยถือครองความมั่งคั่งถึง 66.9% (ในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 26.5%) ในขณะเดียวกัน ผู้คนหนุ่มสาวนับพันคนได้ออกมาชุมนุมในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา เรียกร้องให้ทหารและสถาบันพระมหากษัตริย์ยุติการแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย โดยใช้ท่าทางเชิงสัญลักษณ์ชูสามนิ้วจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสภาพสุญญากาศทางประชาธิปไตยและการบริหารงบประมาณบกพร่อง”
อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทย ซึ่งมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน เฉลี่ยต่ำกว่า 2% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีอัตราการเติบโตสูงกว่าสองถึงสามเท่า และแย่งชิงการลงทุนจากต่างประเทศจากประเทศไทยไปได้ค่อนข้างเยอะ
นอกจากนี้ การระบาดของโควิด-19 ยังทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของไทยต้องเผชิญปัญหาครั้งใหญ่ โดยตอนนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นกลับมาเพียง 70% ของจุดสูงสุดในปี 2019 เท่านั้น
แกเร็ธ เลเธอร์ (Gareth Leather) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านเอเชียของ Capital Economics กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เจอปัญหาหนักมากในแง่ของการฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 แย่กว่าเกือบทุกที่ในเอเชียเลย”
คุณเศรษฐายอมรับอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความรุนแรงของสถานการณ์ตรงนี้ เขากล่าวว่าประเทศไทยกำลัง "ประสบวิกฤตเศรษฐกิจ" ซึ่งต้องรับมือโดยตรง
ที่ผ่านมาเขาได้ลดภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ประกาศพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปีสำหรับเกษตรกรที่ประสบปัญหา และวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับประชาชนชาวไทยที่มีสิทธิ์ เพื่อกระตุ้นการบริโภค
นอกจากนั้นก็ยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย และมีแผนจะขยายสิทธิ์นี้ไปยังประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ
นอกเหนือจากการท่องเที่ยวแล้ว ยังต้องการเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ สุขภาพ และการเงิน ให้มากขึ้นด้วย มุ่งยกระดับบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก โดยได้เป็นเจ้าภาพต้อนรับ เจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และ หวัง อี้ (Wang Yi) ผู้นำทางการทูตระดับสูงสุดของจีน มาเจรจาในประเด็นที่ละเอียดอ่อนระหว่างสองประเทศคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
เขาหวังว่าประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐในเอเชียและมีความผูกพันทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งกับจีน จะสามารถทำหน้าที่เป็น "สะพานเชื่อม" และ "พื้นที่ปลอดภัย" ระหว่างสองมหาอำนาจ พร้อมเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในระดับนานาชาติ ให้ประเทศไทยได้ ‘เฉิดฉาย’
แรงกดดันของ CEO ของประเทศ
หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ คุณเศรษฐาก็เผชิญหน้ากับแรงกดดันหลายด้านและต้องสร้างผลงานให้ได้อย่างรวดเร็ว
“ความกดดันไม่ได้มาจากการที่เราเป็นที่สอง” เขาพูดถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมา “ความกดดันมาจากความจำเป็นในการจัดการกับปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน นั่นแหละคือความกดดันที่ผมต้องเผชิญทุกๆ วัน”
เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองในประวัติศาสตร์ไทยที่มีห้องนอนที่ทำเนียบรัฐบาล “ผมจะประชุมเช้าหรือดึกก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก” เขาอธิบาย เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าการจราจรในกรุงเทพฯ นั้นติดขัดไม่น้อย การมีห้องนอนที่ทำเนียบรัฐบาลช่วยอำนวยความสะดวกและลดเวลาการเดินทางลงได้
นอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เขายังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย แต่ประเทศไทยยังไม่ผ่านงบประมาณแผ่นดินประจำปี เหตุการณ์ยืดเยื้อหลังการเลือกตั้งทำให้ทุกอย่างติดขัด นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่หวั่นว่าการแจกเงินสด 560,000 ล้านบาทจะกระตุ้นเงินเฟ้อ "ในฐานะซีอีโอของบริษัท คุณจะรู้ว่าคุณมีอำนาจจำกัด" เขากล่าว "แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดคือการขาดอำนาจที่นายกรัฐมนตรีมีอยู่"
นิตยสารไทม์ได้สอบถามเรื่องที่หลายคนสงสัยอย่างประเด็นคุณทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นคนคอยกำหนดทิศทางอยู่เบื้องหลัง แต่คุณเศรษฐาก็ปฏิเสธประเด็นนี้อย่างหนักแน่นว่าคนที่ตัดสินใจคือเขาไม่ใช่คนอื่น
แน่นอนว่าโฟกัสของ “นายกฯ เซลส์แมน” คือเรื่องการค้า การลงทุนจากต่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งนิตยสารไทม์ก็แชร์ว่าสิ่งที่คนไทยหลายคนกังวลคือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนอาจจะถูกมองข้ามและทิ้งไว้ข้างหลังอีกรึเปล่า
จริงอยู่ที่รัฐบาลจะผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการแต่งงานและสิทธิของคนรักร่วมเพศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสังคมและช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ประเด็นอื่นๆ ดูเหมือนจะถดถอยลง เช่นปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง หรือสิทธิ์ในการแสดงออกทางการเมือง แต่คุณเศรษฐาก็ยังยืนยันว่า "สิทธิในการได้รับความยุติธรรมอย่างเป็นธรรม สิทธิในการได้รับการรับฟัง มีอยู่แล้ว"
ความเด็ดเดี่ยวของเขายังแสดงออกในนโยบายต่างประเทศด้วย เดือนตุลาคมที่ผ่านมา นายกฯ เศรษฐาได้พบปะกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีนที่ปักกิ่ง เพื่อมองหาโอกาสการลงทุนจากจีน โดยเฉพาะโครงการ “แลนด์บริดจ์” (Landbridge) มูลค่า 3 พันล้านเหรียญในภาคใต้ เชื่อมต่อทะเลอันดามันกับอ่าวไทยระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและคมนาคมขนส่ง เพิ่มโอกาสการลงทุนสำหรับต่างชาติ
เมื่อถูกถามถึงความประทับใจต่อสีจิ้นผิง นายกฯ หยุดนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า "ในฐานะผู้นำของโลก เขามีออร่าบางอย่าง ผมคิดว่าเขาต้องการค้าขาย เขาไม่คิดจะสร้างปัญหาอะไร ไม่ได้ต้องการสงคราม"
แต่สำหรับผู้นำอีกคนที่คุณเศรษฐาไปพบอย่าง ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) แห่งรัสเซีย เมื่อเดือนตุลาคมและเชิญให้มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ กลับความระแวงสงสัยในจากฝั่งอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าวโดยไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนว่า "เราได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนต่อรัฐบาลไทย เกี่ยวกับการกระทำและกิจกรรมของปูติน รวมถึงการรุกรานยูเครนโดยไร้เหตุผล" แต่คุณเศรษฐาเองก็กล่าวว่า “เราไม่แทรกแซงอธิปไตยของประเทศอื่น"
ไทม์กล่าวว่า “สำหรับคุณเศรษฐาแล้วจำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียกว่า 1 ล้านคนที่เดินทางมาเที่ยวไทยทุกปีและใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อนั้นมีความสำคัญมากกว่า เขาได้เสนอให้ผู้ถือหนังสือเดินทางรัสเซียสามารถเข้าไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งยาวนานกว่าที่ชาวอเมริกันได้รับสามเท่า”
ประเด็นต่อมาที่ไทม์หยิบมาสอบถามคือเรื่องของธุรกิจผูกขาดในประเทศไทย โดยมองว่าเป็นที่รู้กันดีว่าประเทศไทยเป็นตลาดผูกขาดโดยมีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เพียงไม่กี่รายเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือการขายเบียร์แบบ ‘small-batch’ ขนาดเล็กถูกห้ามในประเทศไทยภายใต้กฎหมายที่มีมานานหลายทศวรรษซึ่งคุ้มครองบริษัทครอบครัวขนาดใหญ่สองแห่งที่ผูกขาดตลาดมูลค่า 8,000 ล้านเหรียญถึง 90%
นอกจากนั้นก็มีบริษัทหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลได้รับสัมปทานแต่เพียงผู้เดียวในการดำเนินธุรกิจปลอดภาษีที่สนามบินหลักของกรุงเทพฯ เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้ว จนสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจครอบครัวมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ขึ้นมาได้
ดันแคน แม็กคาร์โก (Duncan McCargo) ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศไทยจากมหาวิทยาลัย Singapore’s Nanyang Technological University กล่าวว่า "บริษัทระหว่างประเทศต้องการที่จะเข้ามาทำธุรกิจในภาคการสื่อสาร ภาคค้าปลีก ภาคเครื่องดื่ม แต่ทุกคนรู้ว่าภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้ถูกยึดครองไปแล้วเป็นส่วนใหญ่"
ไทม์กล่าวว่า “แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ให้คำมั่นสัญญาในการลดอำนาจของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เอาไว้ แต่เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เขาได้รับการยืนยันให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐาก็เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดโดยผู้นำของกลุ่มบริษัทรายใหญ่ที่สุดของประเทศหลายคนและแชร์ภาพจากงานนั้นบนแพลตฟอร์ม X”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามนายกฯ ก็ยังยืนยันว่ายังมีพื้นที่ให้ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติได้แบ่งส่วนแบ่งการตลาดกันอยู่
เราอาจจะเห็นข่าวคุณเศรษฐาเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อตำหนิพนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพแบบไม่มีการนัดล่วงหน้า หรือแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ที่ไปแสดงคอนเสิร์ต Eras Tour ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สิงคโปร์แทนกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายแล้วเขาจะถูกตัดสินจากประชาชนด้วยผลงานต่างๆ ที่เขาได้ลงมือทำ การตัดสินใจอันยากลำบากเพื่อยกระดับสังคม แม้ว่าจะต้องเสียการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนระดับสูงของเขาก็ตาม
“การปฏิรูปอย่างกล้าหาญคือสิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องการอย่างยิ่ง” ไทม์กล่าวสรุป
“จากการเป็น CEO ของบริษัทไปจนถึง CEO ของประเทศ มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่มากมาย” เขากล่าว
และเช่นเดียวกับในห้องประชุม อำนาจไม่เคยแบ่งเท่าๆ กัน